- 08 ต.ค. 2559
รายงานโดยอ้างจาก SANA สำนักข่าวหลักของซีเรียว่า บะชาร อะซาด ได้ออกมายืนยันในบทสัมภาษณ์ที่มีกับวารสารรายไตรมาส การศึกษานโยบายต่างประเทศของเตฮะราน ว่า : ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ และอิสราเอลนั้นกินเ
รายงานโดยอ้างจาก SANA สำนักข่าวหลักของซีเรียว่า บะชาร อะซาด ได้ออกมายืนยันในบทสัมภาษณ์ที่มีกับวารสารรายไตรมาส การศึกษานโยบายต่างประเทศของเตฮะราน ว่า : ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ และอิสราเอลนั้นกินเวลามายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงกระบวนการถ่ายโอนความสัมพันธ์นี้จากรูปแบบที่ซ่อนเร้นไปสู่การเปิดเผย
บะชารเผยว่า : หนึ่งจากผลลัพท์ของการร่วมมือระหว่าง ซาอุฯ – อิสราเอล คือสงครามของปี 67 โดยมีเป้าหมายทำลาย อับดุลนาศิร ( ประธานาธิบดีของอียิปต์ ) ในยุคสมัยนั้น
ในอดีตยังไม่มีความจำเป็นที่การพบปะระหว่างทั้งสอง ( ซาอุฯ และ อิสราเอล) ต้องเกิดขึ้นโดยตรง และอาจเป็นไปได้ว่าการร่วมมือและประสานงานดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการร้องขอของสหรัฐฯ หรือซาอุฯ เองที่ร้องขอจากอเมริกา
บะชารย้ำว่า : มีวิธีการต่างๆ ที่หลากหลายสำหรับความสัมพันธ์ดังกล่าวของทั้งสอง แต่การประสานงานในรูปแบบภาคปฏิบัติจะถูกวางอยู่ในกรอบและขอบข่ายดังกล่าว แนวทางสันติภาพของอาหรับในปี 2002 ที่ถูกนำเสนอโดยคิงอับดุลลอฮ์ ก็วางอยู่ในกรอบดังกล่าว แผนการที่ถูกนำเสนอโดยกษัตริย์ฟะฮัดในปี 1981 โดยมีเป้าหมายขับไล่การต้านทานปาเลสไตน์ออกจากเลบานอนก็วางอยู่ในกรอบอันนั้นเช่นเดียวกัน แตกต่างตรงที่สิ่งเหล่านี้ที่เคยกระทำอย่างซ่อนเร้นและโดยอ้อมนั้น ได้ถูกกระทำอย่างเปิดเผยและโดยตรงในปัจจุบัน
ราชวงศ์อาลิซาอู๊ดคือทาสรับใช้สหรัฐฯ มิใช่ฮะระมัยน์
บะชารเผยว่า : ชนชั้นนำในอดีตมองว่าอาลิซาอู๊ดคือผู้รับใช้ฮะรัมทั้งสอง ในขณะที่ความจริงแล้วพวกเขามิได้เป็นผู้รับใช้ฮะรัม แต่เป็นทาสรับใช้สหรัฐฯ ต่างหาก
เขากล่าวเสริมว่า : ซาอุฯ ไม่เคยต่อต้านอิสราเอลมาก่อน เพียงแต่การเปิดเผยประเด็นดังกล่าวนั้นมันน่าอาย แต่ปัจจุบันพวกเขาได้เปิดเผยมันแล้ว
เขาตั้งข้อสังเกตว่า : คำถามแรกที่เราจะต้องถามจากมวลมุสลิมที่มองว่าอาลิซาอู๊ดคือผู้รับใช้ฮะระมัยน์นั้นก็คือ ราชวงศ์นี้ได้ทำอะไรบ้างต่อกรณีของมัสยิดุลอักซอ ? พวกเขาสร้างสัมพันธ์กับอิสราเอลได้อย่างไรในขณะที่รัฐเถื่อนนี้มุ่งแต่จะทำลายรากฐานของมัสยิดดังกล่าวในทุกครั้งที่มีโอกาส และสร้างโบสถ์วิหารต่างๆ ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งซาอุฯ ไม่เคยมีมาตรการใดๆ หรือกระทำสิ่งใดที่แย้งต่อพฤติกรรมของยิวไซออนิสต์เลย
หากเรานำเสนอประเด็นนี้ก่อนหน้านี้แน่นอนจะมีหลายคนแย้งเราว่า คำพูดของคุณไม่ถูกต้อง พวกเขาคือผู้รับใช้ฮะระมัยน์ แต่ ณ ตอนนี้ไม่มีใครสามารถปฏิเสธประเด็นดังกล่าวได้อีกแล้ว.
สำหรับ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรียที่ถูกสหรัฐระบุว่าเป็นผู้รับผิดชอบการโจมตีสังหารพลเมืองของตนเองนับพันคนด้วยอาวุธเคมีอย่างเหี้ยมโหด มีบุคลิกเป็นคนพูดจาอ่อนโยน ชื่นชอบเพลงร็อกจากตะวันตก และชอบสนุกกับเครื่องเล่นทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นชีวิตจิตใจ และขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศโดยความบังเอิญ
ก่อนรับตำแหน่งผู้นำซีเรีย นายอัสซาดเป็นคนถ่อมตัว และไม่เคยคิดจะขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำประเทศตามรอยบิดาแต่อย่างใด เขาเคยบอกกับเพื่อนสนิทว่าอยากจะเป็นจักษุแพทย์มากกว่าเป็นผู้นำประเทศ และชอบถ่ายภาพกับคอมพิวเตอร์มากกว่าการเมือง นายอัสซาดตำหนิพวกก่อการร้ายตลอดเวลาว่าเป็นตัวการทำลายชาติ ก่อความมวุ่นวาย
ชอง มารี เคเมเนอร์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติของนายอัสซาด ซึ่งมีชื่อว่าเผด็จการบาชาร์ นายอัสซาด ซึ่งตีพิมพ์ในฝรั่งเศสเมื่อปี 2554 ระบุว่า ไม่น่าเชื่อว่านายอัสซาดที่มีบุคลิกนุ่มนวลและถ่อมตนจะเป็นคนจริงจังในขณะที่พูดถึงความเลวร้ายของพวกก่อการร้ายทั้งหลาย
นายอัสซาดขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำโดยอุบัติเหตุ เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวบิดาได้วางไว้สำหรับนายบาเซล ซึ่งเป็นพี่ชาย แต่นายบาเซลเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เสียก่อน นายบาชาร์ อัล-อัสซาด จบการศึกษาด้านจักษุแพทย์จากลอนดอน แล้วมาเรียนด้านการทหารจนได้ยศพันเอก
เคเมเนอร์ ผู้เขียนประวัตินายบาชาร์ กล่าวว่า เมื่อตอนที่ถูกบิดาเรียกตัวไปแจ้งให้เตรียมตัวรับตำแหน่งประธานาธิบดี นายบาชาร์ได้เสนอให้นายมาเฮอร์ ผู้น้อง รับตำแหน่งแทน แต่บิดาไม่เห็นด้วย และเมื่อประธานาธิบดีฮาเฟซ อัล-อัสซาด ผู้เป็นบิดา อสัญกรรมเมื่อปี 2543 รัฐสภาได้ลดอายุของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 40 ปี เหลือ 34 ปี เพื่อรองรับนายบาชาร์ทันที นายบาชาร์ครองอำนาจมาอย่างราบรื่นจนกระทั่งเกิดอาหรับสปริงเมื่อปี 2554 และต่อต้านความพยายามโค่นตนลงจากเก้าอี้มาตลอด 3 ปี จนกระทั่งกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของชาวโลก หลังจากสหรัฐอ้างว่าเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตีด้วยอาวุธเคมีพลเรือนของตนเองจนเสียชีวิตนับพันคน
ที่มา : http://fa.alalam.ir/news/1868995