- 31 ก.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด
ผลสืบเนื่องจากการที่คณะผู้พิพากษาศาลอาญา แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ มีคำพิพากษาให้จำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี ส่วนน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี กรณีที่ไม่คิดคำนวณประโยชน์ที่ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของ นายทักษิณ ได้รับจากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 เพื่อเสียภาษีอากร
ต่อมาทางด้านนายสัก กอแสงเรือง อดีตกรรมการและโฆษกคตส. ได้แสดงความเห็นว่า กรมสรรพากรควรพิจารณาหาทวงเงินภาษีดังกล่าวกลับคืนสู่แผ่นดินโดยเร็ว
(ข้อมูลประกอบ : เอาเงินแผ่นดินคืนมา!!! "สัก กอแสงเรือง" ยึดคำพิพากษา จี้สรรพากรเร่งทวง "โอ๊ค-เอม" ชดใช้จ่ายภาษีหุ้นชินฯโดยเร็ว !!?!! http://deeps.tnews.co.th/contents/198091/ )
และใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อแผ่นดิน (ยังไงก็ต้องเอาเงินคืนแผ่นดิน!!! อัยการชี้ช่องทวงคืนภาษีขายหุ้นชินฯ สุดท้ายความซวยอาจย้อนกลับไปที่ "เบญจาและพวก" ??? http://deeps.tnews.co.th/contents/198161/ )
ล่าสุด “สำนักข่าวไทยพับลิก้า” ได้นำสรุปเรื่องราวที่มาของกรณีอื้อฉาวดังกล่าวอีกครั้งไว้ดังนี้ “วิบากกรรมของข้าราชการกลุ่มนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่นางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ทำหนังสือมาถามกรมสรรพากรเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 ว่า Ample Rich Investment Limited (บริษัทแอมเพิลริช) จดทะเบียนบริษัทที่หมู่เกาะ British Virgins Islands ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปฯ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 จำนวน 32.92 ล้านหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท และในระหว่างที่บริษัทแอมเพิลริชถือหุ้น บริษัทชินคอร์ปฯ ได้ทำการลดราคาพาร์เหลือ 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้นชินคอร์ปฯ ที่บริษัทแอมเพิลริชถือครองเพิ่มเป็น 329.2 ล้านหุ้น ต่อมาบริษัทแอมเพิลริช ตกลงขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ที่ถือครองทั้งหมดให้นายพานทองแท้ในราคาพาร์ 1 บาท โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ นางสาวปราณีจึงถามกรมสรรพากรว่า กรณีนายพานทองแท้ซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ จากบริษัทแอมเพิลริชต้องเสียภาษีหรือไม่?
วันที่ 21 กันยายน 2548 นางเบญจา หลุยเจริญ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (ซี 10) ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ได้ลงนามในหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0706/7896 ตอบข้อหารือนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ว่า “กรณีนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นชินคอร์ปในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นการซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ซึ่งเป็นเรื่องของการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาดไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนกรณีบริษัทแอมเพิลริชขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ก็ไม่เข้าข่ายพนักงาน หรือกรรมการได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เพราะหุ้นชินคอร์ปฯ ที่บริษัทแอมเพิลริชซื้อไว้ถือเป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัท ไม่ใช่หุ้นที่บริษัทแอมเพิลริชเป็นผู้ออกเอง”
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร นำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากที่คณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร สำเร็จในเดือนกันยายน 2549 จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ
วันที่ 5 มีนาคม 2551 คตส. สรุปผลการสอบคดีอดีตผู้บริหารกรมสรรพากร ตอบข้อหารือนางสาวปราณีว่า บริษัทแอมเพิลริชขายหุ้นให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ในราคาพาร์ 1 บาท ไม่ต้องเสียภาษี โดย คตส. มีความเห็นว่า “การซื้อขายหุ้นมีลักษณะแตกต่างไปจากการซื้อขายทรัพย์สินอื่นโดยทั่วไป เพราะการซื้อขายหุ้นเป็นหลักทรัพย์ ซึ่งจะต้องมีวิธีการตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ ไม่ใช่การซื้อขายโดยทั่วไปตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การกล่าวอ้างเหตุผลในการตอบข้อหารือไม่เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว อันเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยเหตุและผล หลักเกณฑ์ ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติ และมีการอาศัยข้อหารือดังกล่าวไปใช้ในทางที่มิชอบ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการกรมสรรพากร”
คตส. จึงชี้มูลความผิดกลุ่มข้าราชการกรมสรรพากรนี้ มีความผิดฐานฐานละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154, 157, 83 โดยวินิจฉัยให้ผู้เสียภาษีไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีน้อยไปกว่าที่ควรต้องเสีย จึงส่งสำนวนคดีให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับข้าราชการสรรพากรกลุ่มนี้และนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดในขณะนั้นมีความเห็นไม่ส่งฟ้อง
วันที่ 3 ธันวาคม 2558 คณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเห็นชอบเป็นโจทย์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐอีกครั้ง โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด กล่าวหานางเบญจา หลุยเจริญ เป็นจำเลยที่ 1 นางสาวจำรัส แหยมสร้อยทอง จำเลยที่ 2 นางสาวโมรีรัตน์ บุญญาศิริ จำเลยที่ 3 นายกริช วิปุลานุสาสน์ จำเลยที่ 4 และนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ จำเลยที่ 5 ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลอาญานัดไต่สวนพยานครั้งแรก เห็นว่ามีมูลความผิดทางอาญา จึงมีคำสั่งให้ประทับคำฟ้องคดี
จนกระทั่งวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ พิพากษาคดีดำหมายเลข อท 43/2558 จำเลยที่ 1-4 มีความผิดข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีความผิดตั้งแต่มีการตอบข้อหารือจำเลยที่ 5 วินิจฉัยว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ไม่ให้ต้องเสียภาษีอากร กรณีซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ เมื่อปี 2549 คนละ 164 ล้านหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาด ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ต้องนำส่วนต่างของราคาหุ้น คนละ 7,941.95 ล้านบาท มาเสียภาษีกับกรมสรรพากร การกระทำดังกล่าวทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและราชการเสียหาย !!!
ขอบคุณข้อมูล : “สำนักข่าวไทยพับลิก้า”