- 28 ก.พ. 2560
มีใครอยากรู้บ้าง?? “พระมหาไพรวัลย์”เผยประวัติ “ชิตังเมโป้งรวย” คำสุดฮิตของธรรมกาย..มีที่มาที่น่าเหลือเชื่อสุดๆ ?? "รวย รวย รวย" (รายละเอียด)
ถ้าหากเราจะพูดถึงวัดธรรมกายนั้นเราจะนึกถึงอะไรกันบ้าง เช่นอาคารต่างๆที่ดูหรูหราอลังการ พระธัมมชโย ลูกศิษย์วัดจำนวนมหาศาล และที่เป็นไฮไลท์ที่คนอาจจะยังไม่รู้นั่นก็คือ คำว่า “ชิตัง เม” ซึ่งพระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตร พระวัดสร้อยทอง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ไพรวัลย์ วรรณบุตร” เล่าถึงที่มาของคำว่า “ชิตัง เม” โดยระบุว่า ถ้าพูดถึงคำว่า ชิตัง เม นี่ หลายคนก็คงรู้สึกคุ้นหูและนึกถึงวัดพระธรรมกายขึ้นมาทันที โดยเฉพาะคำสร้อยวลีฮิต ที่ติดท้ายว่า โป้ง รวย ซึ่งคนนำมาล้อกัน ที่จริงต้องขอบคุณธรรมกายนะ ที่หยิบเอาคำในพุทธศาสนามาใช้ จนทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะคำว่า ธุดงค์ ก่อนหน้านี้ มาจนถึง ชิตัง เม อะไรนี่อีก แม้ว่าโดยที่สุดแล้ว คำพวกนี้จะถูกนำมาใช้ตีความใหม่อย่างพาให้เกิดการเข้าใจผิดก็ตามที
โดยข้อความที่ “พระมหาไพรวัลย์” ระบุไว้ว่า ชิตัง เม คำนี้มีที่มา
ถ้าพูดถึงคำว่า ชิตัง เม นี่ หลายคนก็คงรู้สึกคุ้นหูและนึกถึงวัดพระธรรมกายขึ้นมาทันที โดยเฉพาะคำสร้อยวลีฮิต ที่ติดท้ายว่า โป้ง รวย ซึ่งคนนำมาล้อกัน ที่จริงต้องขอบคุณธรรมกายนะ ที่หยิบเอาคำในพุทธศาสนามาใช้ จนทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะคำว่า ธุดงค์ ก่อนหน้านี้ มาจนถึง ชิตัง เม อะไรนี่อีก แม้ว่าโดยที่สุดแล้ว คำพวกนี้จะถูกนำมาใช้ตีความใหม่อย่างพาให้เกิดการเข้าใจผิดก็ตามที
จริงจริงแล้ว คำว่า ชิตัง เม เป็นคำที่มีใช้จริงนะ คือใช้กันดาษดื่นในสมัยพุทธกาล ปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกด้วย อย่างเรื่องกุททาลชาดก ก็เป็นเครื่องสาธกในข้อนี้ได้ดี ความย่อมีอยู่ว่า
ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติ เป็นกุททาลบัณฑิต มีอาชีพทำไร่ทำสวนปลูกผักผลไม้ แกมีจอบบิ่นบิ่นอยู่ด้ามหนึ่ง เป็นสมบัติมีค่าของตระกูล วันหนึ่งนึกอยากสละเรือนออกบวชเป็นฤษี ก็เลยเอาจอบไปซ่อนแล้วออกบวช แต่พอเมื่อบวชบวชไปสักพักหนึ่งก็กระสัน นึกถึงเครื่องมือทำมาหากินของตัวเอง ก็เลยสึก พอสึกไปก็เบื่อหน่ายอีก จึงกลับมาบวช
แกบวชบวชสึกสึก อย่างนี้อยู่ถึง ๖ ครั้ง จนครั้งที่ ๗ เกิดความสลดสังเวชใจ อนาถใจในตัวเองว่า อาศัยสมบัติคือจอบบิ่นบิ่นด้ามเดียว ก็ตัดขาดจากความอยากครองเรือนไม่ได้ ก็เลยคิดหาอุบายจะทำลายจอบซึ่งเป็นต้นตอแห่งตัณหานี้ทิ้ง
ในครั้งสุดท้าย จึงไม่เอาจอบไปซ่อนเหมือนครั้งก่อนก่อน แต่ตัดสินใจไปที่แม่น้ำใหญ่ หันหลังแล้วเหวี่ยงจอบลงแม่น้ำอย่างสุดแรง เพื่อไม่ให้หามันเจออีก เมื่อหันหน้ากลับมามองหาจอบที่เหวี่ยงทิ้งแล้ว ไม่เห็นร่องรอย แกก็เกิดปีติปราโมทย์ ที่สามารถเอาชนะกิเลสของตัวเอง จึงตะโกนเสียงอย่างดังว่า ชิตัง เม ชิตัง (กูชนะแล้วโว๊ยย กูชนะแล้วโว๊ยย) นี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า ชิตัง เม
ที่เอาเรื่องนี้มาเขียน ก็เพื่อให้เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงคำนี้ในทางพุทธศาสนา ท่านหมายถึง การเอาชนะกิเลสในใจของตัวเอง ชิตัง เม คือ ชนะกิเลส อย่างพราหมณ์จูเฬกสาฎกที่พยายามสู้กับความตระหนี่ของตัวเองจนถึงสว่าง เพื่อจะถวายผ้าห่มที่มีแค่ผืนเดียวให้กับพระพุทธเจ้า จนสุดท้ายแกก็สามารถเอาชนะความตระหนี่ของตัวเองได้จริงจริง ก็เลยตะโกนคำว่า ชิตัง เม (กูชนะแล้ว) เหมือนกัน
แต่จะว่าไป พราหมณ์จูเฬกสาก พอพูดคำว่า ชิตัง เม หลังการถวายผ้าห่มให้พระพุทธเจ้า แกก็รวยจริงนะ เพราะพระราชาดันมาได้ยินเข้าแล้วเลื่อมใส ก็เลยสั่งให้พระราชทานทั้งผ้าทั้งข้าวของตั้งหลายอย่างเชียวแหล่ะให้กับแก วัดธรรมกายเขาก็คงอ้างจากเรื่องนี้เหมือนกัน จะไปว่าเขาก็นะ
แหม่ ก็นั่นแหละเนาะ ถ้าวัดพระธรรมกาย จะเอาแค่ ชิตัง เม อย่างเดียว ไม่มีแถมคำว่า โป้ง รวย มาด้วย คนก็คงไม่ด่าไม่ล้อหนักขนาดนี้ 555