- 17 เม.ย. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
จากกรณีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จำเป็นต่อการจัดการเลือกตั้งจำนวน 4 ฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่จะกำหนดคุณสมบัติสาระสำคัญในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคการเมืองนั้นๆ และจะต้องส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ล่าสุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งกรธ.ต้องส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในวันพรุ่งนี้(18 เม.ย.)โดยกรธ.ปรับให้พรรคใหม่กับพรรคเก่ามีความทัดเทียมกัน
“ คือพรรคเก่าเราก็บอกว่าถ้ายังทำเรื่องหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ไม่เสร็จก็ห้ามส่งผู้สมัคร แต่พรรคใหม่ไม่ต้องทำเพราะยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องทำในการส่งผู้สมัครได้ และถ้าต้องมาทำแบบพรรคเก่าก็ถือว่าไม่ทัดเทียมกัน ตรงนี้จะเป็นการไม่ให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันระหว่างพรรคการเมืองเก่ากับพรรคการเมืองใหม่” นายมีชัย กล่าว
สำหรับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองที่ กรธ.ปรับปรุงล่าสุด มีทั้งสิ้น 10 หมวด และบทเฉพาะกาลรวม 142 มาตรา โดยสาระสำคัญบางมาตรา มีดังนี้มาตรา 14 ข้อบังคับพรรคต้องไม่มีลักษณะต่อไปนี้ (4) ครอบงำหรือเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่โดยอิสระของ ส.ส. มาตรา 15 ข้อบังคับพรรคอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้ (15) รายได้ของพรรคการเมือง และอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมืองต้องเรียกเก็บจากสมาชิกไม่น้อยกว่าปีละ 100 บาท หรือ มาตรา 15 วรรคท้ายอาจเก็บแบบตลอดชีพได้ แต่ไม่เกิน 2,000 บาท มาตรา 27 สมาชิกภาพสิ้นสุดเมื่อ (3) ไม่ชำระค่าบำรุงสมาชิก 2 ปีติดต่อกัน
มาตรา 33 ภายใน 1 ปี นับจากนายทะเบียนรับจดทะเบียน พรรคการเมืองต้องดำเนินการดังนี้ (1) ให้มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 5,000 คน และต้องเพิ่มสมาชิกให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คนภายใน 4 ปี (2) จัดให้มีสาขาพรรคการเมืองในแต่ละภาคและจังหวัดตามที่ กกต.กำหนดอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา และแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาในเขตพื้นที่สาขานั้นตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป มาตรา 35 จังหวัดที่ไม่ได้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ หรือสาขาพรรค หากมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดเกิน 100 คน ให้พรรคการเมืองแต่งตั้งสมาชิกในจังหวัดนั้น 1 คน ให้เป็นตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด
มาตรา 47 ให้พรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต รับฟังความเห็นจากสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด มาตรา 49 ในการเลือกตั้งทั่วไป การส่งผู้สมัคร ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง มาตรา 51 การกำหนดนโยบายของพรรคที่ใช้ในการโฆษณา ให้คำนึงถึงความเห็นของสาขาพรรค และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และอย่างน้อยต้องมีรายการต่อไปนี้ (1) วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ (2) ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย (3) ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย
มาตรา 85 พรรคการเมืองสิ้นสภาพความเป็นพรรคเมื่อ (1) ไม่แก้ไขข้อบังคับให้ถูกต้อง ตามที่นายทะเบียนแจ้ง กกต.แล้วมีมติให้เพิกถอนข้อบังคับ ก่อนแจ้งมตินั้นต่อพรรคภายใน 7 วัน นับจากมีมติ โดยพรรคต้องแก้ไขให้ครบภายใน 30 วัน นับจากได้รับแจ้ง หากพ้นเวลาแล้วไม่แก้ไขหรือแก้ไขไม่ถูกต้อง ให้พรรคการเมืองสิ้นสภาพ ตามมาตรา 17 วรรคสาม ผู้ใดเรียกรับหรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใดเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และกรณีไม่มีสมาชิกตามกำหนด
โดยเรื่องเซตซีโร ระบุไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 131 ว่า ให้พรรคการเมืองที่จัดตั้งหรือเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 และยังดำรงอยู่ในวันก่อนวันที่ พ.ร.ป.นี้ใช้บังคับ เป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.นี้ และให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าวที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่ พ.ร.ป.นี้ใช้บังคับ ยังคงเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองเพื่อดำเนินการตามมาตรา 132 โดยให้ถือว่าพรรคการเมืองดังกล่าวมีสมาชิกตามที่ปรากฏในทะเบียนสมาชิก พรรคการเมืองที่สำนักงานจัดให้มีขึ้นตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550
ส่วนของผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนั้น ในมาตรา 140 ระบุว่า พ.ร.ป.นี้ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการทางปกครองหรือดำเนินคดีแพ่งต่อบุคคลใดที่มีความรับผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 และเพื่อประโยชน์แห่งการนี้ให้ถือว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ยังมีผลใช้บังคับอยู่
การกระทำใดๆ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ถ้าการกระทำนั้นยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง และศาล มีอำนาจดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 โดยให้ถือว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ยังมีผลใช้บังคับอยู่
มาตรา 141 บรรดาผู้ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ และยังไม่พ้นระยะเวลาที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ให้ถือว่าถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ โดยให้นับต่อเนื่องไปจนครบกำหนด ตามระยะเวลาที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้น ผู้ใดถูกต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก่อนวันที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ และยังไม่พ้นระยะเวลาที่ถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ถือว่าผู้นั้นถูกห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ โดยให้นับต่อเนื่องไปจนครบกำหนดตามระยะเวลาที่ถูกห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มาตรา 22 ซึ่งระบุว่า คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง (กก.บห.) มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของคณะกรรมการ โดยให้ กก.บห. มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการในลักษณะที่อาจทำให้การเลือกตั้ง หรือการเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดซึ่งสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ทั้งนี้เมื่อความปรากฏต่อ กก.บห. หรือเมื่อได้รับแจ้งจากนายทะเบียนว่า สมาชิกกระทำการอันอาจมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ กก.บห.มีมติหรือสั่งการให้สมาชิกยุติการกระทำนั้นโดยพลัน และกำหนดมาตรการหรือวิธีการที่จำเป็น เพื่อมิให้สมาชิกผู้ใดกระทำการอันอาจมีลักษณะดังกล่าวอีก แล้วแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีมติ
ในกรณีที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนว่า กก.บห.ไม่ปฏิบัติตามวรรคสาม ให้นายทะเบียนเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณามีคำสั่งให้ กก.บห.นั้นพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ คำสั่งดังกล่าวให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และห้ามมิให้ กก.บห.ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุดังกล่าวดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง จนกว่าจะพ้นเวลายี่สิบปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้มีสิทธิ์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของคณะกรรมการต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าว ห้ามมิให้ กก.บห.พ้นจากตำแหน่งตามวรรคสี่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองนั้น เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการตามสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ และห้ามมิให้มีส่วนร่วม ในการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือตำแหน่งอื่น หรือการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง