กราบสาธุ145ปี!!!“สมเด็จโต”สงฆ์ผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ ต้องธุดงค์หนีเมื่อ“ในหลวงร.3”ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะ “พระ”ซึ่งทำให้“ในหลวงร.4”เลิกเหล้า

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

จากกรณีที่วันนี้(22 มิ.ย.)เป็นวันครบรอบมรณภาพของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระเกจิอาจารย์รูปสำคัญต้นสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งขณะท่านมรณภาพ(22 มิ.ย.2415) สิริอายุรวม 84ปี สมภพเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2331 ที่จังหวัดพิจิตร บวชเป็นสามเณรที่วัดเกศไชโย จ.พิจิตร เมื่ออายุได้ 13 ปี ก่อนย้ายมาศึกษาธรรมะกับพระอรัญญิก เถระ (ด้วง)  ที่วัดบางขุนพรหมนอก (วัดอินทรวิหาร ) จากนั้นได้ย้ายไปศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดระฆังโฆษิตาราม และในปี 2352 กลับไปอุปสมบทที่วัดตะไกร อ.เมืองพิจิตร หลังจากนั้นเดินทางกลับกรุงเทพ เพื่อเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดระฆังฯต่อ นั่นเองได้มีเรื่องเล่าต่างๆมากมายเกี่ยวกับสมเด็จโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าแผ่นดินทั้งรัชกาลที่3 และรัชกาลที่4 ซึ่งพระไพศาล วิสาโล ได้นำมาเผยแพร่ไว้ จึงอยากนำเสนอบางเรื่องบางตอนไว้เพื่อพุทธศาสนิกชนและคนทั่วไปได้รับทราบเพื่อถือเป็นแนวทางปฏิบัติดังนี้

“ในหลวงกับหลวงตา

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) หรือที่ชาวบ้านที่นิยมเรียกว่าหลวงพ่อโตนั้น ท่านเป็นผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ แม้จะเชี่ยวชาญทางพระปริยัติธรรม แต่ก็ไม่ยอมเข้าสอบเพื่อเป็นเปรียญ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งท่านเป็นพระราชาคณะ ท่านก็ทูลขอตัว ว่ากันว่าท่านเกรงว่าจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ จึงมักธุดงค์หลีกเร้นไปยังจังหวัดห่างไกลเนือง ๆ

 

ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ อาจเป็นเพราะหลวงพ่อโตมีอายุมากแล้ว จึงไม่ขัดข้องที่จะรับพระราชทานสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในชั่วเวลาไม่ถึง ๑๕ ปีท่านได้รับเลื่อนเป็นถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะชั้นสูง แต่แม้กระนั้นท่านก็ยังดำรงตนเป็นพระธรรมดาสามัญ

 

ลักษณะพิเศษของท่าน นอกเหนือจากความสันโดษและไม่ถือยศถืออย่าง ก็คือความกล้าหาญ ท่านไม่เพียงสอนธรรมแก่ชาวบ้านเท่านั้น หากยังกล้าตักเตือนพระมหากษัตริย์ โดยไม่กลัวว่าจะทรงกริ้วหรือไม่โปรดปราน

 

คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จงานลอยกระทงหลวง ขณะที่ทรงประทับที่ตำหนักแพ พร้อมด้วยฝ่ายในเป็นอันมาก ก็ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จโตแจวเรือข้ามฟากมา เจ้ากรมเรือต้องไปขวางเอาไว้ ครั้นพระเจ้าอยู่หัวรู้ว่าเป็นเรือของสมเด็จโต ก็รับสั่งถามว่าจะไปไหน สมเด็จ ฯ ตอบว่าตั้งใจมาเฝ้า

 

"ทำไมเป็นถึงสมเด็จเจ้าแล้ว ต้องแจวเรือเอง เสียเกียรติยศแผ่นดิน"

 

สมเด็จโตตอบว่า "ขอถวายพระพร อาตมภาพทราบว่าเจ้าชีวิตเสวยน้ำเหล้า สมเด็จก็ต้องแจวเรือ"

 

พระองค์พอได้ฟังเช่นนั้น ก็ได้สติ ตรัสว่า "อ้อ จริง จริง การกินเหล้าเป็นโทษ เป็นมูลเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติยศแผ่นดินใหญ่โตทีเดียว ตั้งแต่วันนี้ไป โยมจะถวายพระคุณเจ้า จักไม่กินเหล้าอีกแล้ว"

กราบสาธุ145ปี!!!“สมเด็จโต”สงฆ์ผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ ต้องธุดงค์หนีเมื่อ“ในหลวงร.3”ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะ “พระ”ซึ่งทำให้“ในหลวงร.4”เลิกเหล้า

อีกคราวหนึ่งท่านจุดไต้เข้าไปในพระราชวังเวลากลางวันแสก ๆ แล้วเอาไต้นั้นทิ่มกำแพงวังจนดับก่อนกลับวัด พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็น ตรัสว่า "ขรัวโตเขารู้แล้ว ๆ ๆ"

 

เรื่องของเรื่องก็คือสมเด็จโตวิตกว่า พระเจ้าอยู่หัวจะทรงหมกมุ่นมัวเมาในกามคุณมากเกินไป จึงทำอุบายถือไต้เข้าไปในพระราชวังกลางวัน ประหนึ่งว่าในพระราชฐานนั้นกำลังมืดมิดดังกลางคืน

 

มีอีกหลายครั้งที่สมเด็จโตกล้าขัดพระราชหฤทัย คราวหนึ่งสมเด็จโตได้ถวายเทศน์ในพระพระราชฐาน ๓ วันติดต่อกัน บังเอิญวันที่ ๒นั้นพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทรงสดับแต่พอสังเขป ด้วยมีพระราชกิจอย่างอื่น (นัยว่าเจ้าจอมจะประสูติ) แต่หาได้ตรัสอย่างใดไม่ ปรากฏว่าสมเด็จโตถวายพระธรรมเทศนาอย่างยืดยาว ครั้นวันต่อมา พอสมเด็จโตตั้งนโมเสร็จ ท่านก็กล่าวสั้น ๆ ว่า พระธรรมเทศนาหมวดใด ๆ มหาบพิตรก็ทราบหมดแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ลงธรรมาสน์ พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสถามว่าเหตุใดวันก่อนจึงถวายเทศน์มาก วันนี้กลับถวายน้อย สมเด็จโตถวายพระพรว่า "เมื่อวานนี้มหาบพิตรมีพระราชหฤทัยขุ่นมัว จะทำให้หายขุ่นมัวได้ด้วยทรงสดับพระธรรมเทศนาให้มาก วันนี้มีพระราชหฤทัยผ่องใส จะไม่ทรงสดับก็ได้"

 

มีครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วสมเด็จโตมาก เพราะสมเด็จโตถวายเทศน์เกี่ยวกับเมืองกบิลพัสดุ์ว่า พี่เสกน้อง น้องเอาพี่ เอากันเรื่อยมาไม่ว่ากัน เพราะถือว่าบริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ จนถึงประเทศสยามก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้อง ขึ้นราชาภิเษกแล้วก็สมรสกันเป็นธรรมเนียมมา

 

พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพอพระราชหฤทัย ไล่ลงธรรมาสน์ ตรัสว่า "ไป ไป ไป ไปให้พ้นพระราชอาณาจักร ไม่ให้อยู่ในดินแดนของฟ้า ไปให้พ้น"

 

สมเด็จโตออกจากวังแล้วกลับวัดระฆัง เข้าไปนอนในโบสถ์ ไม่ออกมา บิณฑบาตในโบสถ์ ไม่ลงดิน

กราบสาธุ145ปี!!!“สมเด็จโต”สงฆ์ผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ ต้องธุดงค์หนีเมื่อ“ในหลวงร.3”ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะ “พระ”ซึ่งทำให้“ในหลวงร.4”เลิกเหล้า

ครันพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถวายพระกฐินวัดระฆัง พบสมเด็จโต ก็รับสั่งว่า "อ้าวไล่แล้ว ไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักร ทำไมยังขืนอยู่"

 

"ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้อยู่ในพระราชอาณาจักร อาศัยอยู่ในพุทธจักร ตั้งแต่วันมีพระราชโองการ ไม่ได้ลงดินของมหาบพิตรเลย"

 

"ก็กินข้าวที่ไหน ไปถานที่ไหน"

 

"ขอถวายพระพร บิณฑบาตบนโบสถ์นี้ ถานในกระโถน เทวดาเป็นคนนำไปลอยน้ำ"

 

"โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาจักรสยามหรือ"

 

"โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งแยกจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้ ขอถวายพระพร"

 

"ขอโทษ ๆ" แล้วทรงถวายกฐิน รับสั่งใหม่ว่าให้สมเด็จโตอยู่ในสยามประเทศได้

 

โบสถ์เป็นของพระพุทธเจ้าฉันใด สมเด็จโตก็ถือว่าท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าฉันนั้น หาใช่พระของในหลวงไม่ แม้ท่านจะเป็นพระราชาคณะก็ตาม ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล้าเตือนพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไม่หวั่นเกรงภัยใด ๆ ทั้งนี้ด้วยกรุณาและปัญญาของท่านเป็นสำคัญ

กราบสาธุ145ปี!!!“สมเด็จโต”สงฆ์ผู้ไม่ปรารถนายศศักดิ์ ต้องธุดงค์หนีเมื่อ“ในหลวงร.3”ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะ “พระ”ซึ่งทำให้“ในหลวงร.4”เลิกเหล้า

 

 

 

ขอบคุณหนังสือ : เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้

โดยพระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง