- 02 ก.ย. 2560
ติดตามรายละเอียดที่นี่ http://www.tnews.co.th
ถึงแม้ว่าคดีฟ้องร้องเอาผิดกับนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ในครั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย จะไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากกระบวนการทางคดียังต้องรอการพิพากษาชั้นอุทธรณ์และฎีกาต่อไปตามลำดับ ภายหลังศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาให้จำคุกนายยงยุทธ์เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีเพิกถอนคำสั่งกรมที่ดินให้ยกเลิกโฉนดที่ดินที่จดทะเบียนในนาม “สนามกอล์ฟอัลไพน์” อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมิชอบ
ประเด็นสำคัญคือในคำพิพากษาปรากฏชัดในข้อเท็จจริง ว่า 1.คำสั่งของอธิบกรมที่ดิน (ในขณะนั้น) ที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินของมูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย ผู้โอนให้กับมูลนิธิมหามงกุฎ เป็นผู้รับ และ มูลนิธิมหามงกุฎ ขายต่อให้กับบริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และ บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ ตลอดจนการจดทะเบียน ลำดับต่อๆ มา รวมถึงการจดทะเบียนแยกแปลงในที่ดินที่เป็นข้อพิพาท เป็นคำสั่งที่ถูกต้องด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว
2.กรณีนายยงยุทธในขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจพิจารณาการอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ชอบธรรมแล้ว จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เนื่องจากนายยงยุทธก็รับทราบมติของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ระบุว่า ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของวัดและธรณีสงฆ์ทันทีที่นางเนื่อม (เจ้าของที่ดิน) เสียชีวิต แม้ว่าจะไม่มีการโอนชื่อให้เป็นของวัดก็ตาม อีกทั้งยังพบว่า วัดได้ปล่อยเช่าที่ดินที่ได้รับจากนางเนื่อมเพื่อก่อให้เกิดดอกผล และยังไปจดทะเบียนว่าที่ดินที่ได้มานี้เป็น “ธรณีสงฆ์”
พิจารณาโดยหลักข้อเท็จจริงและคำพิพากษาศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบแล้ว ที่ดินของนางเนื่อม หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา อุปัฏฐายิกาของเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร ซึ่งได้ทำพินัยกรรม ณ ที่ว่าการอำเภอดุสิต และต่อหน้าว่าที่ร้อยตรีเสมอใจ พุ่มพวง นายอำเภอดุสิต เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2512 ในการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 20 ตำบลคลองซอยที่ 5 ฝั่งตะวันออก (บึงตะเคียน) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานานี เนื้อที่ 730 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา ถวายเป็นกรรมสิทธิ์ให้แก่ วัดธรรมิการามวรวิหาร
ดังนั้นจึงต้องถือเป็นกรรมสิทธิ์ ในสถานะของความเป็นธรณีสงฆ์ หรือ นับตั้งแต่นางเนื่อม หรือ หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยการโอน หรือขายต่อให้กลุ่มทุนการเมือง ผ่านมูลนิธิมหามงกุฎฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ประเด็นนี้ต้องย้ำให้ชัดด้วยเป็นสาระสำคัญตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งวินิจฉัยในข้อกฎหมายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2543 เป็นหนังสือที่ นร 0601/0175 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 สรุปใจความสำคัญว่าวัดธรรมิการามวรวิหาร เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวทันที เมื่อ นางเนื่อม หรือ หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ถึงแก่กรรม ตามมาตรา 33(2) (13) แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
นอกจากนี้การโอนที่ธรณีสงฆ์ยังต้องทำโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ตามมาตรา 34 (14) ไม่อาจนำมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้อ้างในการโอนเพียงบทบัญญัติเดียว เพื่อทำให้การโอนที่ดินจากมูลนิธิมหามงกุฎไปแก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากวัดธรรมิการามวรวิหารไม่ได้ เพราะถือเป็นการประทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของเจ้าของมรดก ซึ่งไม่ผูกพันทายาท ตามมาตรา 1720 (21) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โดยสรุปเหตุกรณีนี้ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของ นางเนื่อม หรือ หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ได้ถือเป็นทรัพย์สินของวัดธรรมิการามวรวิหาร หรือเป็นธรณีสงฆ์ โดยสมบูรณ์แล้วจะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น โดยมูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย ในการนำไปขายต่อให้ บริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และ บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ ... มิได้ ??
ยิ่งยวดที่สุดจากคำพิพากษาของศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีสาระสำคัญชี้ว่าการยกเลิกคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน (ในขณะนั้น) ให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินของมูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย จึงต้องดำเนินการโดยผู้เกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเร็วที่สุด ในชั้นนี้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะผู้ทำหน้าที่แทนกรมศาสนาเดิม ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมเพื่อชี้ขาดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ซึ่งเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2545 ไว้ก่อนหน้านี้ว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งจะต้องดำเนินการตามบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลแพ่งและพาณิชย์ อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม
แน่นอนว่ากรณีนี้เป็นไปได้อย่างสูงว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินของ นางเนื่อม หรือ หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ย่อมตกเป็นของวัดธรรมิการามวรวิหาร ตามเจตนาบุญของ ยายเนื่อม แต่เดิมเริ่มต้น ซึ่ง มูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย ไม่อาจนำไปแปลความหมายเป็นอย่างอื่นได้ ...
ยกเว้นแต่มีความพยายามจะกระทำการออกกฎหมายที่กำลังเป็นเรื่องร้อนในขณะนี้ ว่าด้วย การจัดทำร่างพระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์วัดธรรมิการามวรวิหาร ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (คลิกอ่านรายละเอียด : ร่างพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์วัดธรรมิการามวรวิหาร...) ให้เป็นผลทางกฎหมายโดยสมบูรณ์
โดยอ้างว่า มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้อยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเนื่อม หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ในช่วงที่มีข้อขัดแย้งหรือการบริหารจัดการที่ดินภายในวัดธรรมิการามวรวิหาร และมูลนิธิดังกล่าวได้รับโอนและจดทะเบียนขายให้กับ บริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และ บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ ที่มีนางอุไรวรรณ เทียนทอง , นายวิทยา เทียนทอง , นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ เป็นผู้ถือหุ้น ในราคาไร่ละ 1.5 แสนบาท รวมเป็นเงิน 142 ล้าน ในวันเดียวกัน คือวันที่ 31 สิงหาคม 2533 ก่อนนำที่ดินไปจำนองในวงเงิน 220 ล้านบาท แล้วขายต่อให้กับนายทักษิณ ชินวัตร ในปี 2541 ด้วยมูลค่าสูงถึงกว่า 500 ล้านบาท
ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายเชื่อว่ากำลังมีความพยายามทำกฎหมายขึ้นมารองรับการโอนและขายที่ดินของ นางเนื่อม หรือ ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กับ บริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และ บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ เป็นผลโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ดังปรากฏอยู่ในถ้อยคำส่วนหนึ่งจากเฟซบุ๊กของ “ฟองสนาน จามรจันทร์” ผู้สื่อข่าวอาวุโส และตามมุมความเห็นของสื่อมวลชน นักฎหมายจำนวนมาก ว่า “มาเถิดชาวพุทธ..ช่วยกันโพสต์-แชร์พร้อมข้อความคัดค้าน..ช่วยกันรณรงค์ต่อต้านการเหยียบย่ำเจตนารมณ์สุดท้ายของคุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา...ทุกวิถีทาง”