- 10 ก.พ. 2561
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ https://www.facebook.com/partiharn99/
เรื่องฝ่าเท้าของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
- หลวงปู่หล้า เขมปัตโต -
เรื่องที่ลืมเขียนมานมนานคือ ...
(ฝ่าเท้าหลวงปู่มั่นทั้งสองข้างเป็นตาหมากรุกหมดเต็มทั้งสองฝ่า)
เวลาสรงน้ำ ท่านปรารภว่า (ฝ่าเท้าของเราไม่เหมือนหมู่เพียงเท่านี้)
พูดค่อย ๆ แบบเย็น ๆ (ในยุคหนองผือ สี่ปีที่ข้าพเจ้าอยู่กับองค์ท่านนั้น)
พระเณรผู้น้อยที่ถวายข้อวัตรสรงน้ำถวายองค์ท่านนั้น ผู้สงวนฟังจึง-
จะได้ยิน (เพราะองค์ท่านก็ปรารภค่อยแบบประหยัด ไม่แกมอวด)
ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้ ... อาจเอื้อมถูข้างบน (ระหว่างฝ่าเท้าเสมอ ๆ)
จำพวกที่ถูหลัง ตัว แขน ขา ฝ่าเท้านั้น มักจะเป็นพระ ๔-๓-๒
พรรษาเท่านั้นได้ถู พระผู้ใหญ่เหนือ ๕-๖-๗-๘-๙ ไปแล้วไม่ค่อย-
จะได้ถูตัว แขน ขา เพราะองค์หลวงปู่เทศน์ว่า สรงน้ำนี้เว้นให้ผู้น้อย-
เขาสรงเสีย ถ้าพระผู้ใหญ่มาทำขวางผู้น้อย ผู้น้อยเขาละอายเก้อเขิน
เพราะเขาไม่มีทางเอื้อมมือเข้า และเขาก็กระดากละอายดังนี้
ส่วนข้าพเจ้าพรรษาอ่อน แต่อายุสามสิบกว่าในสมัยนั้น
และการที่องค์ท่านปรารภว่า ฝ่าเท้าของเราไม่เหมือนหมู่นั้น องค์ท่าน-
(ปรากฏว่า ปรารภครั้งเดียวเบา ๆ เท่านั้น ไม่ได้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีก)
ส่วนข้าพเจ้าผู้สงวนถูฝ่าเท้าก็เห็นเป็นตาหมากรุกเต็มฝ่าเท้าทั้งสองทางจริง ข้อนี้-
ในชีวประวัติขององค์ท่านเล่มใด ๆ ก็ไม่ปรากฏเห็น และยุคที่องค์ท่านทรงพระ-
ชีวาอยู่ก็บันดาลดลใจ ไม่มีใครสนใจปรารภ
(น่าแปลกมาก) ข้าพเจ้าก็บันดาล-
ลืมอีกด้วย เรียกได้ว่า ข้าพเจ้าไม่มีพยานก็ว่าได้
(แต่เอาตาหูตนเองเป็นพยาน)
ยุคก่อน ๆ ก็ไม่มีท่านผู้ใดเล่าให้ฟัง
(ชะรอยจะว่าดีชั่วไม่อยู่กับฝ่าเท้า อยู่กับใจกับธรรม)
เรื่องฝ่าเท้าขององค์หลวงปู่มั่นเป็นตาหมากรุกนี้เป็นของ-
ทรงพระลักษณะสำคัญมาก แต่ก็น่าสนใจมากว่า ไฉน-
จึงบันดาลไม่ให้พระจำพวกผู้ใหญ่สนใจเอาลงในชีว-
ประวัติ (กลายเป็นของไม่สำคัญไป) ชะรอยพระผู้น้อยที่-
เห็นในเวลาสรงน้ำถวายแล้วไม่เล่าถวายให้พระผู้ใหญ่-
ฟัง แต่ข้าพเจ้าเองก็บันดาลลืม ไม่ค่อยสนใจเล่าเลย
แต่พอมาถึงยุคภูจ้อก้อตอนแก่กว่าเจ็ดสิบปีกว่า ๆ แล้ว
จึงระลึกเห็น เป็นของน่าแปลกมากแท้ ๆ ที่ลืม พากันลืม-
เขียนลง แต่คราวองค์ท่านทรงพระชีวาอยู่ก็ดี หรือ-
ทรงพระมรณกาเลก็ดี ไม่มีท่านผู้ใดสงวนปรารภ ก็เป็น-
ของคล้ายกับว่าอุตริขึ้นมาภายหลัง แต่ก็ต้องอาศัย-
หลักของความจริง ไม่หนีจากความจริงเฉพาะตอนนี้-
เป็นพยาน จริงก็ต้องเอาจริงเป็นพยาน เท็จก็ตรงกันข้าม
ชีวประวัติยุคภูจ้อก้อเป็นยุคสุดท้ายภายแก่ชราพาธ ถ้าไม่มรณกา-
เลไปเสียแล้ว ชีวประวัติก็จะไม่จบได้ แต่จะอย่างไรก็ตามทีเถิด
ต่างจะได้พิจารณาว่า เจตนาปฏิบัติพระพุทธศาสนาเพื่อประสงค์อะ-
ไรบ้าง และจิตใจจะอยู่ระดับใดบ้าง เหล่านี้เป็นต้น แต่บรรยาย-
พอสังเขปก็เอาละ จะบรรยายไปมากก็จะเป็นหลายวรรคหลายตอน
และก็ความพอดีพองามในโลกนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่ระดับใดแน่ ถ้ามาก-
เกินไป เล่มก็ใหญ่ ลงทุนก็มาก ท่านผู้อ่านก็จะระอาอีก น่าพิจารณา
และก็คล้าย ๆ กับว่าตนเป็นผู้ประเสริฐเลิศล้ำ ระฆังไม่ดังก็ตีจนระฆัง-
แตก แต่จะอย่างไรก็อาศัยเจตนาเป็นเกณฑ์ก็แล้วกันกระมัง
- หล้า -
ที่มา : หนังสือ "ชีวประวัติ พระหล้า เขมปตฺโต"