- 07 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.attarote.com
จากประเด็นข่าวที่โด่งดังไปทั่ว กรณี นาง อารียฉัตร อภิสิทธิ์อมรกุล อายุ 67 ปี หรือ “เจ้เล้ง ดองเมือง ” เศรษฐีนีหมื่นล้าน เจ้าของธุรกิจชื่อดัง “ร้านเจ้เล้ง” ตัดสินใจหย่าขาดกับสามี ชื่อ นายจำรัส อภิสิทธิ์อมรกุล อายุ 70 ปี พร้อมกับยกทรัพย์สินให้จำนวนกว่า 700 ล้านบาท หลังอยู่กินกันมา 40 ปี เพื่อแลกกับอิสรภาพ ล่าสุด “เจ้เล้ง” ได้เปิดใจถึงเบื้องลึก เบื้องหลัง การหย่าขาดกับสามี โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
“พอดีเพิ่งหย่ากับสามี เมื่อเดือนที่แล้ว เหตุมันมีมานานแล้วล่ะ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ดิฉันเอง ตั้งแต่แต่งงานก็อายุ 27 สามีมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เราเป็นแม่ค้า จบแค่ ม.1 แต่งงานได้ 2 อาทิตย์ สามีก็บอกว่า เงินต่างคนต่างเก็บ จริงๆช่วงที่แต่งงานไป ดิฉันค่อนข้างจะมีฐานะ เพราะว่าดิฉันเป็นแม่ค้าที่ขายของในตลาดที่ ค่อนข้างจะหาเงินเก่ง คือจะมีวิสัยทัศน์ที่มองอะไรมาเป็นธุรกิจตั้งแต่เด็ก จริงๆช่วงที่แต่งงานไป ดิฉันค่อนข้างจะมีสตางค์แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ทางสามีฟังว่ามีฐานะ ช่วงที่แต่งงานไป ตอนแรกเราก็มีสมบัติไปที่บ้านเค้าเยอะแยะ แต่ทางสามีจบจุฬาฯเป็นสมุห์บัญชีอยู่ บริษัทการเงิน เงินเดือน 2 หมื่นกว่าบาท เมื่อ 40 ปี ที่แล้ว ก็ทางแม่สามีก็คงคิดว่า กลัวดิฉันเนี่ยเป็นแม่ค้า เดี๋ยวอาจจะไปหลอกสามีใช้เงินไหม?? ก็คงจะไปบอกลูกเค้าว่า ให้เงินต่างคนต่างเก็บ พอแต่งได้ 2 อาทิตย์สามีก็มาบอกว่าเงินต่างคนต่างเก็บ ตั้งแต่นั้นเค้าก็ไม่เคยออกค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเราเลย กลายเป็นว่าเราต้องเป็นคนหาเงินเลี้ยงตัวเอง เผลอๆก็ต้องเลี้ยงเค้าด้วย
พอแต่งงานกันมาได้สักประมาณ 6 ปี บอกตรงๆตอนนั้นก็ค่อนข้างจะดัง คือขายของ เงินทองไหลมาเทมาเยอะมาก ช่วงที่ แต่งงานไป ดิฉันก็มีเงินไป 3 แสนบาท แต่ไม่ได้บอกสามีตอนแรก พอเริ่ม 6 ปี สามีตกงานแล้ว เพราะว่า ทำตั้งแต่บริษัทใหญ่จนถึงบริษัทห้องแถว ก็ไม่มีงานทำ ทุกครั้งที่เราเริงร่าคือขายของได้เงินเยอะแยะมากเลย คือค่อนข้างจะดัง กลับไปถึงบ้านแทนที่เราจะเริงร่า คุยว่าฉันได้เงินมา ยังไม่ทันได้เงิน เค้าก็เล่าแต่เรื่องร้าวรานที่เราเครียดมากทุกวัน จนสุดท้ายเราก็อืม เราก็อายเค้านะ พอแต่งงานแล้ว สามีไม่ได้มีงานทำ ถึงได้เรียกมาช่วยที่ร้าน ช่วยกันทำ ซึ่งตอนนั้น ดิฉันก็ขายดีค่อนข้างมาก ดิฉันก็ทำคนเดียว ซึ่งโชคดีที่มีบริวารดี บริวารเค้าจะดูแลให้ทุกอย่าง พอมาทำงานด้วยกัน ถึงรู้ว่าเราคิดผิดนะ เพราะเค้าเป็นคนเจ้าอารมณ์มาก ค้าขายแบบดิฉันเนี่ย ยิ่งวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดราชการเนี่ย จะขายดีมากเลย เค้าจะต้องหยุด หยุดราชการเค้าจะไม่มาช่วยแล้ว ถึงวันธรรมดาก็ไม่ได้ช่วยอะไร แค่มายืน มองๆ ช่วยก็ช่วยไม่ได้ อย่างน้อยก็มีคนมาช่วยยืนดูๆหน่อยก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเล่าเรื่องร้าวรานใจเป็นเรื่องอื่น วันหยุดก็ไม่ช่วยอะไร วันหยุดดิฉันขายของจนตาฝ้าฟางไปหมด เพราะคนเยอะมาก เขาก็ต้องหยุด นักขัตฤกษ์ก็ต้องหยุด หยุดก็หยุด ส่วนดิฉันเนี่ย ไม่เคยหยุด ก็ทะเลาะ เริ่มทะเลาะกัน อยู่ด้วยกันมาเราก็คิดว่าคงหายแล้ว ก็ไม่ได้ดู ไม่ไดเอะไร ก็ยังให้เค้าเป็นคนดู เป็นคนเก็บเงินอยู่นั่นแหละ เก็บมาตลอด
ถึงปีที่ 33 ความก็แตกตรงที่ว่า เงินที่ขายของได้ ดิฉันรู้นี่คะว่าประมาณการเท่าไหร่ แต่ตอนหลังไม่ได้ไปดูเลยจริงๆ เพราะว่าไปทำอพาร์ทเม้น ไปทำอสังหาฯ ก็กำลังบ้าอยากจะมีธุรกิจใหม่ เพราะดิฉันเองก็รู้ว่าเราเริ่มอายุมากขึ้น ธุรกิจขายเครื่องสำอางค์เนี่ย พอแก่ๆเราจะสู้เด็กวัยรุ่นได้ไหม อาจจะไม่ทัน เราไปหาธุรกิจสบายๆทำดีไหม ก็เริ่มไปทำอพาร์ทเม้น ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จ ระหว่างที่ประสบผลสำเร็จ ก็เริงร่าอยู่กับอพาร์ทเม้น ทางนี้ก็อ้าว เงินที่ขายของหายไปไหนอ่า เพราะดิฉันต้องมีกำไรปีละเท่าไหร่ๆ มาตรฐานต้องมี ถึงเค้าจะแบ่งไปส่วนหนึ่ง ก็ยังมีให้เห็นส่วนใหญ่ แต่มาปีสุดท้ายกำไรเหลือไม่ถึง 10% แทบจะไม่เหลือ เป็นไปได้ยังไง จากรายได้ ที่ค่อนข้างเยอะของเรา ฉันก็ตบโต๊ะ ก็ทะเลาะกัน ก็เริ่มทะเลาะกันมากขึ้น
ก็ทางเค้าเอง เค้าเตรียมตัวจะหย่ามา 10 กว่าปีแล้ว เพราะว่า เที่ยวไปบอกคนนั้น คนนี้ ว่าดิฉันไม่ให้เกียรติเค้า เช่นอย่างหนังสือพิมพ์มาสัมภาษณ์ดิฉัน เค้าก็บอกทำไมไม่ให้สัมภาษณ์เค้าบ้าง ลื้อทำไมไม่ให้เกียรติอั๊วบ้าง อ้าว ดิฉันก็บอกว่าสามีจบจุฬาฯนะ เค้ามีความรู้ดีกว่าดิฉัน แต่หนังสือพิมพ์เค้าไม่สัมภาษณ์จะให้ฉันทำยังไง เค้าเที่ยวไปบอกคนนั้น คนนี้ เค้าจะฟ้องหย่านะ อย่าเค้าต้องได้เท่านี้ เค้าจะลีสต์รายการสมบัติทุกอย่างตลอดเวลา โดยที่ดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองมีอะไรเท่าไหร่ ให้เค้าเป็นคนเก็บ แล้วทุกบัญชี สมบัติทุกชิ้น เค้าลงชื่อหมด สมัยก่อนเลยจริงๆ เค้าไม่มีชื่อในบัญชีทุกอัน เพราะเค้าบอกเงินต่างคนต่างเก็บ พอเริ่มมาทำด้วยกัน เค้าบอกว่าต้องจัดตั้งนิติบุคคล พอตั้งนิติบุคคล เค้าหารตัวเค้าเข้ามาทันที เป็นหุ้นส่วนใหญ่ทันที ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ผัวเมียอยู่ด้วยกัน ก็หาเงินอย่างเดียว
ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นมายาวนาน แต่ดิฉันเองอาย ไม่เคยพูดให้ใครฟัง แต่สามีเค้าจะเที่ยวไปเล่า ไปพูดในกลุ่มๆนึงตลอด และเริ่มไปปรึกษาทนาย แต่ระยะหลังมีเรื่องกัน ทุกครั้งที่มีเรื่องกันเค้าจะชอบไปหาญาติที่สงขลา พอไปสงขลาครั้งหลังสุด คนที่นั่นเค้าบอกว่าถ้าไปสบายใจจะกลับไปทำไม ก็อยู่นี่สิ ผัวเมียทะเลาะกัน เค้ายุให้เลิกกันเลย สุดท้ายพอแยกกันครบปี ทางสงขลาเค้าก็หาทนายมาฟ้อง เพื่อแบ่งสมบัติ ระหว่างที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเนี่ย ดิฉันก็ส่งเงินเดือน เค้าขอเดือนละ 5.5 แสน เค้าเก็บเงินเดือนเค้าตั้งแต่ปี 33 ดิฉันก็มี 5.5 แสน แต่ดิฉันไม่เคยได้รับ เข้ากองกลางตลอด แต่ส่วนเค้าจะแยกส่วนตัว ส่วนเงินบัญชี เค้าก็แยกไว้ เงินปันผล ทุกปีจะมีปันผล คนละกี่ล้านๆ เค้ารับเงินสดไปเลย เค้าเข้าบัญชีเค้า แต่ดิฉันเข้ากองกลาง โดยที่ดิฉันก็ไม่เคยดู เพราะเราทำธุรกิจ เราไม่ได้คิดอะไร เราก็คิดว่าเออ เค้างกๆ ช่างเค้าเหอะ เดี๋ยวมันก็กลับมาแหละ จะไปไหนล่ะ จริงๆก็ก็ไม่ได้กินเหล้า ไม่ได้สูบบุหรี่ ไม่ได้เล่นการพนัน แต่ตัวเลขอยู่ในสมองค่อนข้างเยอะ และลูก-หลานเอามาเลี้ยง ดิฉันเองก็เป็นคนไม่มีลูก 3 คน เราเอามาเลี้ยง แต่มีคนนึงที่เราจดทะเบียนเป็นลูก ทุกคนก็ช่วยทำงาน ดิฉันเป็นคนชอบเรียนหนังสือ แต่ไม่มีปัญญาจะเรียน ดิฉันก็ส่งหลานๆไปเรียนเมืองนอก เพื่อที่จะกลับมาช่วยดิฉัน เราก็สำเร็จตรงที่ลูก-หลานเนี่ย มาช่วยนำเข้า-ส่งออก เป็นธุรกิจที่ใหญ่เรื่อยๆ แต่สามีจะรังเกียจลูก-หลานเราหมด
ตอนแรกที่เค้าฟ้อง ทางทนายมาจากสงขลาทั้งหมด เค้าก็พามาหานักการเมืองท่านนึง เป็นคนเจรจา ว่า เจ้ แฟนไม่เอาเจ้ แต่เค้าจะขอเงิน 600 ล้าน กับที่ดินอีกส่วนหนึ่ง เพราะสมบัติเจ้มีตั้ง 5-6 พันล้าน เค้ามาให้ผมดู เจ้ให้เค้าไปเหอะ ถ้าเจ้ไม่ให้ สุดท้าย เจ้จะไม่เหลืออะไร ซึ่งดิฉัน ก็งงว่า ฉันทำผิดอะไร ฉันไม่ได้ดอกทอง ไปเที่ยว กินเหล้า ก็ไม่เคย บ้าแต่ทำงาน เขาขู่ว่า เจ้ไม่กลัว มาตรา 44 หรอ ฉันก็งง อ้าว ฉันไปปล้นเค้ามาหรอ ฉันไม่ได้ค้ายา หรือ ปล้นเค้ามา ฉันไม่กลัว เพราะฉันทำมาหากินมาทุกอย่าง ซึ่งนักการเมืองคนนั้นจะคุมเรื่องฟ้อง ทุกคั้งที่มาศาล จะมีมือปืนมั้งมาคุม มีการส่งนายตำรวจผู้ใหญ่ มาคุ้มกัน ปรากฎว่าขู่อยู่เรื่อยว่า จะแถลงข่าวประจาน ฉันก็ตอบกลับมา ประจานเลยค่ะ ดิฉันไม่มีอะไรให้คนประจาน แต่งงานมา 40 ปี ไม่เคยให้ผัวเลี้ยง ผัวไม่เคยเลี้ยง ฉันอายตรงไหน ดิฉันไม่เคยดอกทอง ไม่กินเหล้า ไม่เอากับใคร ชีวิตอยู่คนเดียว ก็เข็ดจะแย่ มีคนอยากเอาเยอะแยะ แต่ไม่เอาค่ะ บ้าขายของ บ้าหาเงิน บ้าที่จะประสบความสำเร็จ ” เจ้เล้ง กล่าว
เจ้เล้ง เปิดเผยอีกว่า ข้อที่มีการมาฟ้องหย่าร้าง คือ 1 ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นอนด้วยกันมา 5 ปี แต่จริงๆ ไม่ได้นอนกันมา 10 ปี แต่ดิฉันก็ไม่เคยร่านหาใคร ทำงานมาตลอด 2 ไม่เคารพบุพการี ซึ่งตนช่วยรักษาคุณแม่ มีหมอพยาบาลมาเป็นพยานได้ 3 ยักยอกทรัพย์สมบัติให้ลูกหลาน ซึ่งไม่จริง เพราะทุกอย่างที่ให้หลาน มีการบอกหมดทุกอย่างว่าให้อะไร มีลายมือชื่อเขาเซ็นต์รับทราบตลอด ซึ่งให้สู้ในชั้นศาล ยังไงก็สู้คดีไม่แพ้ เพราะตนไม่ได้ผิด ดิฉันอยู่บ้าน เขาเป็นคนออกจากบ้าน ส่งเงินเดือนให้ทุกเดือน 5.5 แสนบาท
“จริงๆสู้กัน ดิฉันชนะ แต่ไม่ขอชนะเพราะแต่ดิฉันกลัว จะต้องรับเขามาอยู่ด้วยอีก ไม่อยากให้มาอยู่ด้วยกันอีก ตอนแรกก็พยายามอดทนทุกอย่าง คิดว่าแก่ๆ แล้วจะดีขึ้น พยายามทำทุกอย่างแล้ว เมื่อถึงศาลสุดท้าย ดิฉันกลัวดิฉันชนะ ระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้าน 1 ปี ทุกอย่างมันเบา มันโปร่ง มันโล่ง ไฟมันหลุดไปจากบ้าน ไม่งั้นพนักงานกว่า 300 คน อยู่ไม่เป็นสุข ก่อนทนายมาบอก สรุปเจ้จะเอาไหม เจ้ชนะนะ ดิฉันบอกไม่เอาค่ะ ดิฉันก็ให้เงินสดไป 300 ล้าน และทรัพย์สินส่วนหนึ่งรวมเป็น 700 ล้านบาท ตอนนี้ อยู่แบบโล่ง หายใจได้เต็มปอด เมื่อก่อนหายใจได้ครึ่งปอด (สะอื้นไห้) พนักงานในบ้าน ลูกหลานมีความสุข เพื่อนฝูงกลับมาหาอีก ทุกอย่างมันมีความโล่งไปหมด ” เจ้เล้ง กล่าว
ถามว่าเหงาไหม เหงา การไม่มีลูกนี่เหงามาก เพราะถึงแม้จะเอาใครมาเลี้ยง ก็ไม่เหมือนสายเลือด พอเค้าแต่งงานไป เค้าก็ไม่เคยโทรศัพท์หาเราเลย ไม่เคยถามแม่กินข้าวยัง แต่อยู่ไหน แม่ต้องไปโรงพยาบาลไหม แต่พอแม่ผัวเข้าโรงพยาบาล เค้าบอกแม่หนูไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องพาแม่ผัวไปโรงพยาบาล พอเราฟังเสร็จเนี่ย น้ำตาเราไหลพรากเลย
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา สามีไม่เคยรู้เลย ร้านเราขายอะไรได้ดี มีโปรโมชั่นตัวไหน คนเยอะนะจะต้องอยู่ช่วยกัน มีแต่เดินออกไปบอกลูกค้าว่า คุณรู้ไหม ผมเป็นใคร ผมเป็นผัวเจ้เล้งนะ สมบัติเนี่ยของผมครึ่งนึง ลูกค้าก็มอง งงๆ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
ทั้งนี้ เจ้เล้ง ได้กล่าวตอนท้ายว่า พอสละโสดงวดนี้ คิดว่า มาเลยร้านเจ้เล้ง วันที่ 1-10 ก.ย. จะมีโปรโมชั่นทั้งลด ทั้งแจก แจกให้เขาไป 700 ล้านแล้ว ทำไมจะแจกให้ลูกค้าบ้างไม่ได้ ขอบคุณที่มาฟังเรื่องชีวิตน้ำเน่า เล่าทีไรคนแก่อายุ 70 ปี ก็นั่งร้องไห้ความโง่ของตัวเอง เจ็บใจ ไม่ได้เสียดาย ดีใจที่หลุดออกไป ดวงตาของเรามีความสว่างอยู่ครึ่งเดียว อีกครึ่งมีแต่ความเศร้า ไม่เคยหัวเราะได้ดังๆ ที่น้ำตาไหลไม่เสียดายของแต่เพราะเสียดายเวลา เพราะเงินไม่เกิน 3 ปี ก็หาคืนได้
ขอบคุณ ที่มา : ช่องข่าว 24 ข่าวสด