- 25 พ.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
เด็กน้อยข้างวัด สำนักข่าว Tnews
หากเป็นผู้สนใจบ้านสนใจเมืองอยู่บ้าง และเห็นภาพข่าวตำรวจกองปราบนำกำลังเข้าจู่โจม บุกค้นกุฏิของอดีต "หลวงปู่พุทธะอิสระ" อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐมวานนี้ และมองเหตุการณ์นั้นด้วยหัวใจที่เป็นธรรม รับรองว่า...เกิดคำถาม "นับหมื่น ๆ ข้อ" ขึ้นในใจแน่
....มันมีเหตุอันใดหรือ...ที่ต้องขนคอมมานโดไประดับใหญ่โตราวกับบุกจับอาชญากร-มหาวายร้าย....ที่หลบหนีคดีไปนานปี แล้วเผอิญสืบพบเบาะแสได้...จึงจู่โจมในลักษณะ "หลวงปู่ฯ" เป็นอาชญากร-มหาวายร้ายเช่นนั้น
เหนืออื่นใดก็ คือตลอดเวลาที่ตัวท่าน...ถูกกล่าวหาทั้งคดีเป็นหัวหน้าอั้งยี่ ซ่องโจร ทำร้ายตำรวจในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 และคดีปลอมพระปรมาภิไธยฯ ภ.ป.ร.และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก.มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องโดยไม่ได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมราชบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ...นั้น "หลวงปู่ฯ" ยืนยันมาตลอดว่า พร้อมจะต่อสู้ และหักล้างข้อกล่าวหาทั้ง 2 นี้
...ท่านเคยแม้กระทั่ง บุกไปเข้าพบ พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. เมื่อวันที่ 11 เม.ย.60 หรือกว่า 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อยื่นหลักฐานการขออนุญาติจัดสร้างพระนาคปรก รุ่น "หนึ่งในปฐพี" และฟ้องกลับ "นายวิชัย ประเสริฐสุดศิริ" ผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องพระพุทธศาสนา หรือ อสคพ. (อีกปีกหนึ่งของธรรมกาย-ผู้เขียน) ซึ่งเป็นต้นทาง...ผู้แจ้งข้อกล่าวหานี้แก่หลวงปู่ฯ
โดยหลวงปู่ฯ ระบุในวันนั้นว่า เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ หลังจากที่มีกลุ่มอ้างว่าปกป้องพระพุทธศาสนา เข้าแจ้งความเอาผิดอาตมาในคดีหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112 ในการนำพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.ไปจัดสร้างพระ ซึ่งก่อนหน้าที่ตนจะทำการจัดสร้างพระรุ่นดังกล่าว ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร และได้เอ่ยวาจาในการปรึกษาเรื่องการขออนุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธย ย่อ ภปร.ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จาก นายแก้วขวัญ วัชโรทัย อดีตเลขาธิการพระราชวัง แต่ในวันนี้ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ โดยจะให้ข้อมูลในชั้นศาลเท่านั้น ทั้งนี้ เชื่อว่าการแจ้งความต่อตนนั้น เป็นการกลั่นแกล้งจากกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ส่วนการใช้เลือดในพิธีปลุกเสกนั้น เป็นพิธีกรรมที่สืบทอดมาแต่สมัยอยุธยา
"ในการเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ จะแจ้งความต่อบุคคลที่แอบอ้างเป็นพรรคการเมือง เพื่อดำเนินการในการขอทูลเกล้าต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ในเรื่องขออภัยโทษให้แก่พระธัมชัยโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื่องจากตรวจสอบแล้วว่า กลุ่มบุคคลที่กระทำการดังกล่าว ไม่ได้จดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองจริง ซึ่งก็เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ด้วย" หลวงปู่ฯ ทิ้งท้าย (ที่มา : สปริงนิวส์ 11 เม.ย. 2017 / 12:57 น.)
...เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้...คงไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่า...เรื่องนี้เคลือบแฝงไปด้วยการเมืองในดงขมิ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะธรรมกายกับหลวงปู่นั้น...มีจุดยืนเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่างกันเช่นไร รวมทั้งตัวหลวงปู่ฯ นั้นพร้อมจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจต่อคดีนี้แค่ไหน...เช่นนี้แล้ว...ไยต้อง...กระทำอุกฤษณ์เช่นนั้น
แม้แต่ "กนก รัตน์วงศ์สกุล" ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ยังถึงกับออกปากไว้ในเฟซบุ๊ก ของตนเองว่า
"ตอนแรก พี่ปองส่งคลิปมาให้ดู นึกว่าตำรวจกองปราบ จู่โจมเข้าจับ มหาโจรวายร้าย ฆาตกรที่ไหน.. ที่แท้มาจับหลวงปู่ โธ่ถัง! ท่านอายุ 62 แล้ว และไม่ว่าจะโดนคดีอะไร ท่านก็ไม่เคยคิดหลบหนี ตลอดทางที่เข้ามา ก็ไม่เห็นตำรวจถูกขัดขวางจากลูกศิษย์วัดคนใด ต้องกระโชกโฮกฮาก ขนาดนี้เลยเหรอ? หรือว่ารู้กำลังถ่ายคลิป ก็เลยเล่นใหญ่ไว้ให้นายดู? ทำไมนายตำรวจที่คุมไป ไม่ประเมินสถานการณ์แวดล้อม แล้วปรับท่าทีชุดจับกุม ให้เหมาะสม .. ไม่เข้าท่าเลย !!!"
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็น 1 ใน 2 คดีที่หลวงปู่ฯ ถูกออกหมายจับวานนี้ เพราะอีกคดีหนึ่งต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 10 ก.พ.57 ช่วงการชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรของกลุ่ม กปปส. โดยหลวงปู่ฯ เป็นแกนนำที่เวทีแจ้งวัฒนะ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นฝ่ายโจทย์ กล่าวหาว่า พวกตนทั้ง 3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ประจำ จ.นนทบุรี ได้รับคำสั่งให้สืบสวนหาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ และเดินมาร่วมกับม็อบชาวนา เพื่อยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด
ขณะนั้น “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหา (ตามสำนวนคำฟ้องของตำรวจ) กับพวกได้ยึดพื้นที่ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอยู่แล้ว เมื่อยื่นหนังสือเสร็จ พวกตนได้เดินทางกลับมาที่ลานจอดรถ ก็มีกลุ่มการ์ดของผู้ต้องหา 3 - 4 คน เดินเข้ามาขอดูโทรศัพท์ของผู้กล่าวหาที่ 2 โดยทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบแล้วจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายจับมัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา จากนั้นกลุ่มการ์ดวิ่งไปหา ผู้กล่าวหาที่ 1 แล้วร่วมกันทำร้ายเช่นเดียวกัน ส่วนผู้กล่าวหาที่ 3 หลบหนีไปได้ จากนั้นกลุ่มการ์ดได้ค้นตัวผู้กล่าวหาที่ 1 - 2 แล้วเอาโทรศัพท์มือถือ , นาฬิกา , สร้อยคอพร้อมพระไป และพาทั้งสองไปข้างเวที กปปส. ถ.แจ้งวัฒนะ บังคับขืนใจให้ตอบคำถาม กับบอกรหัสปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และทำร้ายด้วยการเตะ ต่อยที่ใบหน้า , ศีรษะ , ลำตัว ก่อนใช้ถุงคลุมศีรษะแล้วรัดปากถุงกับลำคอเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ ฯลฯ
...นั่นคือ..ข้อกล่าวหาที่ตำรวจใช้อ้าง...แล้วขอหมายจับต่อศาลเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งนำมาสู่การบุกจับ "หลวงปู่ฯ" วานนี้...แต่อย่างที่บอก...คดีนี้หลวงปู่ฯ เองก็พร้อมจะต่อสู้ในชั้นศาลฯ เพราะขณะเกิดเหตุ...ในช่วงที่ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้ง 3 นายมารับตัวโจทย์กลับ...ก็ได้มีการพูดคุยกันจนเข้าใจกระจ่างแจ้งใน...เหตุที่ต้องควบคุม และค้นตัวตัวตำรวจทั้ง 3 อย่างละเอียดแล้ว...และเหนืออื่นใดก็คือ คดีนี้..ไม่มีการออกหมายเรียกมาก่อนหน้า
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันล่าสุดจาก "นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร" หนึ่งในทีมทนายของหลวงปู่ฯ ที่ให้สัมภาษณ์กับ NATION TV ในรายการ "ข่าวค้นคนเนชั่น" เมื่อค่ำวาน (24 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า คดีนี้ไม่มีการออกหมายเรียก จู่ ๆ ออกหมายจับเลย และหลวงปู่ฯ ท่านก็ปฏิเสธในข้อกล่าวหา และพร้อมจะสู้คดีนี้ เพราะม็อบ กปปส. ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิฉัยแล้วว่า...เป็ยม็อบที่สงบ ปราศจากอาวุธ และมีรัฐธรรมนูญรองรับ...ดังนั้น คดีนี้เจอกันในชั้นศาลแน่
น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ทนายยังไขให้เห็นว่า...เหตุใดม็อบ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะที่มีหลวงปู่ฯ เป็นแกนนำจึงต้องมีการตรวจตรา...คนแปลกหน้าที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาในม็อบอย่างเข้มงวด...เรื่องนี้เป็นผลมาจากการที่ "โกตี๋" แกนนำแดงหยาบช้าแห่งเมืองปทุมฯ ที่มักจะพาพวกแดงมาปะทะกับม็อบของหลวงปู่ฯ บ่อย ๆ ประกาศให้รางวัลสำหรับผู้ที่ "ล่าหัวหลวงปู่ฯ" ได้ หลังปะทะใหญ่ ๆ มารอบแล้วรอบเล่า...ก่อนที่ "โกตี๋" จะเผ่นแน่บออกไปอยู่อีกฟากของฝั่งโขง...แล้วหายเงียบไปจนวันนี้...หลังปะทะใหญ่ที่แยกหลักสี่ (ไอทีสแควร์) ก่อนหน้ารัฐประหารของ คสช.ไม่นานนัก
....นั่นเองเป็นเหตุให้ การ์ดเวทีแจ้งวัฒนะต้องตรวจตรา...คนแปลกหน้าที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาในม็อบอย่างเข้มงวด เพราะมีชีวิตของหลวงปู่ฯ เป็นเดิมพัน เพราะแดงกักฬระอย่างโกตี๋...ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า...เขาพร้อมจะทำทุกอย่าง...หากใครก็ตามจะมาโค่น....รัฐบาลทุนสามานย์ของนายใหญ่
...เสียดายเรื่องนี้ไม่อยู่ในการรับรู้ของตำรวจมากนัก...แต่ก็นั่นแหล่ะเพราะว่าไปแล้ว...ทั้งกรมปทุมวันตอนนั้นก็แทบจะเป็นเนื้อเดียวกับ "โกตี๋" เพราะมีนายคนเดียวกันคือ รัฐบาลที่ "ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน" อย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่แล้ว...จะพูดไปทำไมมี
แม้วันนี้...หลวงปู่ฯ จะถูกจับสึกไปแล้ว...เหตุที่ต้อง 2 คดีดังกล่าว...แต่ดูเหมือนการปฎิบัติธรรมมานาน...จะทำให้ท่านเยือกเย็น...จนแม้แต่คอมมานโดที่บุกจู่โจมยังต้องประหลาดใจ...เพราะท่านก็บอกลูกศิษย์ลูกหาไว้หลายครั้งว่า
"แม้ฉันจะไม่ได้เป็นพระแล้ว ยังไงก็ยังเป็นคน แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อชาติบ้านเมืองในยามวิกฤต นี่นิสิ ฉันจะไม่ใช่คน"