- 28 พ.ย. 2561
"เจ้าอาวาส" ค่ายธรรมะ ขอโทษเด็กหากทำให้จิตป่วย "พระมหาไพรวัลย์" ลั่น "ค่ายป่าเถื่อน ลดทอนคุณค่ามนุษย์!"
จากกรณีเจ้าของเฟซบุ๊ก นามว่า "Jettapon Kraimark" ได้โพสต์ข้อความที่ระบุุถึงเรื่องราว ที่เคยเกิดขึ้นกับ น้องชายหลังต้องเข้าพบจิตเเพทย์เนื่องจากได้เข้าค่ายธรรมะที่มีการกดดันให้เด็กรู้สึกผิด โดยระบุรายละเอียดว่า
"ผมเองเป็นพี่ชายของน้องที่ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์จากเหตุการณ์นั้นถึงตอนนี้ก็ประมาณ 4 ปีแล้วครับ ผมเพิ่งมารู้รายละเอียดกิจกรรมจริงๆก็จากกระทู้นี่แหละครับ ก่อนหน้านี้คือรู้คร่าวๆว่าเป็นค่ายธรรมะที่มีการกดดันให้เด็กสำนึกผิด ใครที่จิตใจไม่เข้มแข็งอาจจะจิตตกได้ ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้โทษใครเลยคิดว่าน้องเรานี่แหละที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอเพราะเด็กคนอื่นก็ไม่เห็นเป็นไรกัน ยอมรับเลยว่าตกใจเหมือนกันที่เจอน้องหลังจากกลับจากค่ายนี้ น้องพูดแต่ขอโทษๆ "ขอโทษนะแม่, ขอโทษนะพ่อ, ขอโทษนะพี่" น้องมีอาการหวาดระแวงใจสั่นตลอดเวลา ไม่สามารถนอนหลับกลางคืนได้ พอตกกลางคืนน้องจะก้มลงกราบทุกคนในบ้านทุกคืนแล้วบอกว่า "น้องขอโทษๆๆ" ที่บ้านต่างพากันสงสัยว่าน้องไปทำผิดอะไรมา ปรากฎคือ น้องสำนึกผิดที่ตัวเองไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็น ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ผมและที่บ้านก็พอรู้กันอยู่แล้ว และก็ได้มีการพูดคุยว่าทุกคนยอมรับได้ในตัวน้อง
แต่! เรื่องยังไม่จบ คือน้องผมยังคงทำแบบนี้ ก้มกราบทุกคนและทุกคืน มีร้องไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับวันอาการเริ่มหนักขึ้น ไม่กล้าเจอหน้าใคร เหมือนคิดว่าตัวเองผิดมากที่เป็นเพศที่สาม มีไปมุดตัวอยู่ใต้โต้ะแล้วแอบร้องไห้คนเดียวจนทุกคนในบ้านเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจพาน้องไปพบจิตแพทย์ จิตแพทย์ให้น้องทานยาและให้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดที่รพ.เฉพาะทางที่สุราษฎร์ (หรือหลังคาแดงนั่นแหละ) และดรอปเรียนปีนึง รักษาอยู่ประมาณ 2-3 เดือน อาการก็ดีขึ้นแต่ยังไปเรียนไม่ได้ ต้องรักษาสภาพจิตใจที่บ้านต่อ และต้องทานยาต่อเนื่องตลอดทั้งชีวิตเพราะอาการสามารถกลับมาเกิดได้เสมอ สุดท้ายอยากฝากถึงค่ายธรรมะนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าค่ายธรรมะได้รึป่าว ควรหยุดทำกิจกรรมนี้เถอะ มันไม่มีประโยชน์เลย เพราะกิจกรรมแต่ละอย่างเหมือนเป็นการบีบบังคับและกดดันให้เด็กยอมสารภาพความผิดเหมือนกับเด็กเป็นนักโทษและเหมือนจะมีการขู่ทำร้ายร่างกาย เป็นใครก็กลัว ยิ่งเป็นเด็กมัธยมที่ไม่เคยโดนสภาวะกดดันแบบนี่ บอกเลยว่าจิตตกได้เลยครับ ท้ายสุดขอฝากถึงโรงเรียนว่า น่าจะมีการตรวจสอบกิจกรรมของค่ายนี้ให้ดีก่อนจัดขึ้นมา และขอขอบคุณน้องคนที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมาครับ #ค่ายธรรมะ"
ศิษย์เก่าค่ายธรรมะ เปิดใจผ่านอมรินทร์ทีวีว่า จากคนเคยเข้าค่ายธรรมะ รู้สึกและแม้จบค่ายจะไม่มีคนป่วย แต่กดดันและเสียสุขภาพจิตมาก อีกทั้งยังมองไม่เห็นข้อดีของการเข้าค่าย พร้อมเรียกร้องให้โรงเรียน พิจารณาค่ายให้เหมาะสมกับนักเรียนด้วย โดยนายกานต์ โสมสัย นิสิตชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า เมื่อตอนที่เข้าค่ายนั้น ตนกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 เป็นค่ายธรรมะที่จัดขึ้นโดยโรงเรียน จำนวน 3 วัน 2 คืน โดยภายในค่าย มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่จำลองสถานการณ์ หนึ่งในสถานการณ์ที่ติดใจจนถึงทุกวันนี้คือ ในทุกมื้ออาหารกลางวันระหว่างทานอาหารอยู่จะเปิดคลิปอุบัติเหตุ ฆ่า ทารุณสัตว์ ทำให้นักเรียนทานข้าวไม่ได้และเทอาหารทิ้ง ต่อมาพอตกตอนเย็นก็จะมีการนำข้าวมาให้ใหม่ โดยอ้างว่าเป็นข้าวที่กินเหลือแต่ความจริงคือข้าวใหม่ แต่ก็ทำให้รู้สึกแย่
นอกจากนี้ยังมีการสร้างสถานการณ์ ว่า คุณครูจะกลับแล้ว เพื่อให้รู้สึกถึงการสูญเสีย ส่วนที่มีคนร้องไห้เสียใจเพราะเกิดจาก “ความกดดัน” เช่นมีการบีบบังคับให้สารภาพว่าใครเป็นเพศที่สาม ใครดื่มสุรา เสพสารเสพติด หรือสร้างสถานการณ์ให้ครูมาขอโทษนักเรียน ที่ทำหน้าที่ครูไม่ดี ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่หน้าที่ของครูที่ต้องมาขอโทษ ภายหลังจากสิ้นสุดค่าย ยอมรับว่าตนและเพื่อนบางคน “หมดศรัทธาในศาสนา” ทำให้สร้างเกราะในการใช้ชีวิตในค่ายจึงไม่มีผลต่อสภาพจิตใจมากนัก ส่วนคนอื่นๆ หลังจบค่ายก็ไม่มีใครป่วยทางจิต แต่ในระยะยาวตนเชื่อว่าอาจจะเกิดผลในอนาคตได้
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 61 ผอ.โรงเรียนศรยาภัย กล่าวผ่านอมรินทร์ทีวีว่า ตนเองเพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา แต่ได้รับรายงานว่า โครงการดังกล่าวได้จัดขึ้น 2 รุ่นคือ ม.1 และ ม.4 มีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมค่ายคุณธรรม 1,200 คน และมีวิทยากรทั้งอาจารย์ในโรงเรียนเอง และพระจาก จ.สุราษฎร์ธานี
ต่อมา พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระนักเทศน์นักคิด วัดสร้อยทอง แสดงความคิดเห็นว่า วิธีการอบรมของค่ายดังกล่าวนั้นใช้ไม่ได้เลย อาตมาขอใช้คำว่า “ป่าเถื่อน” จะดีเสียกว่า เพราะขนาดผู้ใหญ่บางคนมีวุฒิภาวะมากกว่าเด็กก็ยังทนไม่ได้ พระสงฆ์บางรูปก็ทนไม่ได้ และไม่เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อความสามัคคี เพราะวิธีการอย่างนี้เป็นการลดทอนคุณค่าของมนุษย์ ซึ่งเป็นวิธีในค่ายทหาร ไม่สมควรจะอยู่ในสถานศึกษา เเละเรื่องคาบจานนั้น ก็ยังรู้สึกสงสัยว่า คาบทำไม เพราะแม้แต่ผู้ปกครองของเด็กเองก็ไม่ได้ทำโทษลูกด้วยการคาบจาน และมีแต่สุนัขเท่านั้นที่คาบจาน ซึ่งอาตมาไม่เห็นด้วย หากกิจกรรมดังกล่าวนี้ยังจัดต่อเนื่องไป และมีการบังคับให้เด็กทุกคนเข้าร่วม การพัฒนาคุณภาพเด็กมีวิธีอีกมาก และโรงเรียนจำเป็นต้องพิจารณาหลักสูตรที่เหมาะสม โดยให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่นเข้ามาร่วมออกความเห็นเพื่อปรับปรุงกิจกรรมด้วย หากเห็นว่ากิจกรรมใดที่เป็นประโยชน์ก็ยังคงให้มีต่อไปได้
ล่าสุด พระอธิการเดชา นิ่มมา เจ้าอาวาสวัดคลองชะอุ่น จ.สุราษฎร์ธานี ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านอมรินทร์ทีวี ว่า อาตมาเป็นหนึ่งในคณะอบรมดังกล่าว และยืนยันว่า เรื่องการดูถูก ดูหมิ่น หรือลดทอนคุณค่าของเด็กที่เป็นเพศที่สามนั้นไม่มีอยู่จริง ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ เช่น เปิดคลิประหว่างกินข้าว คาบจาน หรือผูกเชือกรองเท้าห้อยคอนั้น มีการประชุมร่วมกับครูในโรงเรียนก่อนแล้ว และดำเนินกิจกรรมไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยหลังจากจัดกิจกรรมจบ ก็จะมีการทำรูปเล่มเชิงวิชาการส่งให้กับโรงเรียนเพื่อรายงานผล และขออธิบายว่า เรื่องการเปิดคลิปทารุณสัตว์หรือฆ่าสัตว์นั้น ก็เพื่อให้ผู้เข้าอบรมทราบถึงที่มาและคุณค่าของอาหาร นอกจากนี้ยังมีภาพของผู้คนที่อดอยาก แต่ไม่มีภาพของผู้ประสบอุบัติเหตุ และขณะนี้ หากเห็นว่าไม่เหมาะสมก็จะหยุดกิจกรรมดังกล่าว และเปลี่ยนเป็นค่ายผู้นำแทน อาตมาตั้งใจจัดกิจกรรมให้ดีที่สุด ซึ่งก็อาจมีทั้งผู้ที่เห็นและไม่เห็นด้วย แต่ยืนยันว่า ค่ายคุณธรรมนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อทำร้ายใคร สุดท้ายนี้ ยอมรับว่าเพิ่งรู้เรื่องเด็กที่มีอาการป่วย ซึ่งก็ต้องขอแสดงความเสียใจ และขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย
ขอขอบคุณ อมรินทร์ทีวี