ฤทธิ์ปาบึก! เด็กน้อยโชคร้ายต้นยางโค่นทับบ้าน เลือดคั่งสมอง พลเมืองดีแจ้งนายกช่วยแล้ว

จากกรณีภาวะวิกฤตที่ถาโถมสู่พี่น้องชาวใต้หลายพื้นที่ โดยเฉพาะล่าสุดที่เกิดขึ้นกับชาวนครศรีธรรมราช กับผลกระทบจากพายุปาบึก ซึ่งเข้าสร้างความเสียหายให้กับหลายพื้นที่  จากภาวะลมแรงพัดโค่นเสาไฟฟ้า  ต้นไม้  ตลอดจนอาคารบ้านเรือนเสียหายเป็นจำนวนมาก จนต่อมายังทำให้เกิดปริมาณน้ำเข้าท่วมในหลายพื้นที่และเป็นวงกว้างจากปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่อง โดยมีความช่วยเหลือจากหลายฝ่าย จากรัฐบาลส่วนกลางและกองทัพที่ทยอยเข้าสู่จุดปัญหาเป็นลำดับ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้พี่น้องประชาชนนั้น

 

 

ล่าสุดวันนี้(12ม.ค.)เฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ได้โพสต์ข้อความขอบคุณถึงพลเมืองคนหนึ่งที่ได้แจ้งเรื่องราวผ่านมาทางเฟซบุ๊ก ถึงครอครัวหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนจากพายปาบึก ซึ่งในเหตุการณ์นี้ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องได้รับบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง โดยเบื้องต้นนายกรัฐมนตรีได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งเข้าไปช่วยเหลือโดยด่วนแล้ว

 

 

 

 

 

“ผมต้องขอขอบคุณพลเมืองดีที่ติดต่อนำเรื่องนี้มาส่งให้ผมผ่านทางเฟซบุ๊คครับ บ้านของครอบครัวนี้ได้รับความเสียหายจากพายุปาบึก ต้นยางโค่นทับฝาผนังบ้านทำให้มีเด็กได้รับบาดเจ็บ มีอาการเลือดคั่งในสมอง เบื้องต้น ผมได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานกับหน่วยงานเข้าไปดูแล โดย พม. จังหวัดนครศรีธรรมราชได้เข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินติดตามอาการของเด็ก แพทย์แจ้งว่ายังต้องคอยสังเกตอาการที่ ร.พ. อีก 2 สัปดาห์ครับ และแม่ทัพภาคที่ 4 ได้จัดกำลังพลและเครื่องจักรเข้าไปรื้อถอนต้นไม้ที่โค่นและจะดำเนินงานซ่อมแซมบ้านต่อไป ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ และผู้หวังดีทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือนะครับ”

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เพื่อตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุโซนร้อน "ปาบึก" ที่ จ.นครศรีธรรมราชโดยเข้าตรวจตราความเรียบร้อยพร้อมวางพวงหรีดเคารพศพนายปรีชา จันทร์แก้ว ผู้เสียชีวิตจากพายุ และพบปะญาติผู้เสียชีวิต ก่อนเดินทางเข้าปล่อยแถวจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจ "Big Cleaning Day" หลักจากนั้นจึงเดินทางไปสามแยกเนินตาขำ ต.บางพระ อ.ปากพนังเพื่อมอบถุงยังชีพและพบปะผู้ประสบภัยจำนวน 2,000 คน พร้อมกับตรวจระบบเตือนภัยของกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าและเดินทางไปตรวจสภาพความเสียหายบริเวณแหลมตะลุมพุก