ทำไมหลวงพ่อคูณ จึงเป็นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด วิสัชนาโดย ว.วชิรเมธี และหิ้งพระที่ญี่ปุ่น

ทำไมหลวงพ่อคูณ จึงเป็นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด วิสัชนาโดยว.วชิรเมธี หิ้งพระที่ญี่ปุ่น

จากกรณีที่พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อายุ 92 ปี เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้มรณภาพอย่างสงบด้วยอาการอาพาธหัวใจหยุดเต้นเข้ารักษาตัวที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา เวลา 11.45 น. เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2558 ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ทราบข่าว ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อคูณ ได้เร่งก่อสร้างเมรุภายในพุทธมณฑลอีสานจนแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โดยมีกำหนดวันพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 29 มกราคม 2562 ที่จะถึงนี้

 

ขณะที่พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ถึงหลวงพ่อคูณด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เล่าระหว่างเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น

 

 “ทำไมหลวงพ่อคูณ

จึงกลายเป็นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด”

.

ระหว่างวันที่ ๑๙ ~ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๒

ผู้เขียนเดินทางไปปาฐกถาธรรมและนำภาวนา

ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

.

หลังเสร็จภารกิจ

มีโอกาสได้ไปเยี่ยมลูกศิษย์คนหนึ่ง

ที่เมืองยามานาชิ

ที่บ้านของลูกศิษย์คนนี้มีหิ้งพระอยู่ด้วย

บนนั้นมีรูปหล่อของ “หลวงพ่อคูณ” ประดิษฐานอยู่

พลันที่ทอดตามองเห็น

สภาวธรรมก็ผุดพรายขึ้นมาในใจว่า

“หลวงพ่อคูณท่านมาไกลจริงๆ

แม้แต่บนหิ้งพระของชาวไทยในประเทศญี่ปุ่น ก็มีรูปหล่อของท่าน

ท่านเกิดมาบนดิน แต่ตายแล้วกลายเป็นเทพไปอยู่บนหิ้ง...”

 

 

 

ทำไมหลวงพ่อคูณ จึงเป็นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด วิสัชนาโดย ว.วชิรเมธี และหิ้งพระที่ญี่ปุ่น

 

ระหว่างเดินทางกลับโตเกียว

เราคุยกันเรื่องปฏิปทาของหลวงพ่อคูณในฐานะ “พระผู้ให้”

ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า

หากมองเผินๆ หลวงพ่อคูณอาจเป็นพระบ้านๆ มึงๆ กูๆ

(อย่างที่สื่อมวลชนบางคนตั้งฉายาให้ท่าน)

แต่หากมองอย่างลึกซึ้งถึงเนื้อในเหมือนนางรจนามองทะลุรูปเจ้าเงาะ

เราก็จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว

ท่านเป็นพระนักปราชญ์ผู้แหลมคม ลุ่มลึก สมถะ จริงใจ และเปี่ยมเมตตาธรรม

เพราะน้อยคนนักที่เมื่อมียศ ทรัพย์ อำนาจ บริวาร แล้วจะไม่หลง

แต่หลวงพ่อคูณท่านมองข้ามโลกธรรมเหล่านี้ทั้งหมด

ท่านจึงผันโชคของตัวเอง

ไปเป็นประโยชน์สุขสำหรับคนอื่น

.

กล่าวกันว่า

ใครเอาเงินมาให้ ท่านก็รับไว้ เพื่อให้ต่อ

ไม่ได้เก็บไว้เพื่อให้ตัวเองมั่งมีศรีสุข

ไม่ได้ถือว่า

โลกธรรมเหล่านี้เป็นบุญบารมีส่วนตัวเหนือคนอื่น

ปฏิปทาของท่านนั้น

เป็นไปในลักษณะ “มีก็เพื่อให้ ได้ก็เพื่อแจก”

หรือถ้าพูดผ่านวาทะของท่านก็คือ “ยิ่งเอามันยิ่งอด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้”

และผลของปฏิปทาเช่นนี้ก็คือ

“จากพระธรรมดา ท่านจึงโดดเด่นขึ้นมาเป็นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด”

บางคนบอกว่า ท่านเสียสละเพื่อสังคมมากกว่าหกพันล้านบาท

ผลแห่งทานคือการให้ ท่านจึงไม่ได้อยู่แค่วัดบ้านไร่

แต่ท่านอยู่บนสร้อยคอ อยู่บนหิ้ง อยู่บนรถ อยู่ในใจ อยู่ในต่างประเทศ

และอยู่ในประวัติศาสตร์

.

วิถีชีวิตของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

คือ ตัวอย่างของคำกล่าวที่ว่า

“การมีเงินมาก

ยังไม่นับว่าประสบความสำเร็จ

แต่การรู้จักถือเอาสาระประโยชน์จากเงินในทางที่ถูกต้องต่างหาก

จึงจะถือว่า ประสบความสำเร็จ”

.

ใครก็ตามที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้

ขอให้ลองถามตัวเองว่า

“เรารู้จักถือเอาคุณค่าของเงินอย่างถูกต้องถ่องแท้แล้วหรือยัง ?”

.

“สาระของเงินอยู่ที่การให้ การรับใช้สังคม

สาระของชีวิต

อยู่ที่การเห็นแจ้งสัจธรรม”

หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

บรรลุถึงสาระทั้งสองอย่างแล้วอย่างหมดจดและงดงาม

.

 

(ว.วชิรเมธี)

๒๕ มกราคม ๒๕๖๒

 

ทำไมหลวงพ่อคูณ จึงเป็นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด วิสัชนาโดย ว.วชิรเมธี และหิ้งพระที่ญี่ปุ่น

 

 

 

ขอบคุณเฟซบุ๊ก : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี