- 09 ก.พ. 2562
"ปรีชาพล" หน.พรรคทษช.โทรหาแม่ "ระเบียบรัตน์" บอกสบายดี หลังหายหน้าตลอดวัน (คลิป)
จากกรณีที่สร้างความฮือฮา หลังคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อลงมติกันก่อนว่าพรรคจะมีมติเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรค ก่อนที่ ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค จะยื่นต่อ กกต. ในเวลา 09.10 น. และมีรายงานว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติมีเพียงคนเดียว คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
ทำให้เกิดแฮชแท็ก #ทรงพระสเลนเดอร์ ติดขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ภายในไม่กี่ชั่วโมง พร้อมกับความคิดเห็นของชาวเน็ตที่มีต่อการเลือกตั้งในปี 2562 ในวันที่ 24 มีนาคมที่กำลังจะถึงนี้
ในเวลาต่อมา จากสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) ได้เผยแพร่พระราชโองการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ความดังนี้ ประกาศ สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นศูนย์รวมและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย
พระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง และทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด ดังเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่าตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความผาสุกและความอยู่ดีกินดีของประชาชนทรงปกครองประเทศด้วยทศพิธราชธรรม และนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยก่อการร้าย ภัยพิบัติ และภัยที่เกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขและดูแลปกป้องประชาชนด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาอย่างมิอาจประมาณได้ ประชาชนทุกหมู่เหล่าเคารพรัก และเทิดทูนพระองค์เสมือนด้วยบิดา จึงทรงเป็น“พ่อแห่งแผ่นดิน” โดยแท้จริง
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งยังเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ แม้จะทรงกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้วตามกฎมณเฑียรบาล โดยได้กราบบังคมทูล พระกรุณาเป็นลายลักษณ์อักษร หากยังทรงสถานะและดำรงพระองค์ในฐานะสมาชิกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นที่รักใคร่ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ตลอดจนเป็นที่เคารพยกย่องของพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์และประชาชนชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ด้วยทรงประกอบพระกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
โดยในการดำรงพระองค์และการประกอบพระกรณียกิจต่างๆนั้น ทรงปฏิบัติด้วยการถวายงานของข้าราชการในพระองค์ และหน่วยราชการต่างๆของหน่วยราชการในพระองค์ตลอดมา การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าหน้า ๑ เล่ม ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๓๗ ง ราชกิจจานุเบกษา ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
อนึ่ง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบัน มีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รองรับสถานะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่เหนือการเมืองและทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิด กล่าวหา หรือฟ้องร้อง พระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมครอบคลุมถึงพระราชินี พระรัชทายาทและพระบรมราชวงศ์ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจร่วมกับพระองค์หรือแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ ดังนั้นพระราชินีพระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หลังจากนั้น นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปประเทศ (ปชช.) กล่าวว่า ภายหลังการเข้ายื่นหนังสือถึงนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฉขอให้กกต.พิจารณาและวินิจฉัยการกระทำของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ว่าเข้าข่ายขัดต่อระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 คาดว่าในวันจันทร์ที่ 11 ก.พ.นี้ น่าจะมีความคืบหน้าที่ชัดเจนจากทาง กกต. ส่วนตัวจะไม่ดำเนินการยื่นคำร้องใดๆอีก เพราะเรื่องที่ตนยื่นร้องไปมีความชัดเจนแล้วว่า ทษช.กระทำการโดยนำสถาบันฯ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งซึ่ง ทษช.ควรต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งอย่างใด ในทางการเมืองเชื่อว่าประชาชนคงตัดสินใจได้ ส่วนพรรคประชาชนปฏิรูปประเทศขอเดินหน้าน้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้แก้ปัญหาให้กับประชาชน
ทั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งประชุม ณ ห้องประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถูกจับตาว่า สำนักงานกกต.จะเสนอคำร้องของนายไพบูลย์เป็นวาระพิจารณาหรือไม่ ซึ่งคำร้องของนายไพบูลย์ ขอให้ กกต.ตรวจสอบการกระทำของ ทษช. โดยอ้างอิงถึงระเบียบว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้ง หมวด 4 ลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ข้อ 17 “ห้ามไม่ให้ผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใด นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง”
ในขณะที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 หมวด 8 การสิ้นสุดของพรรคการเมือง มาตรา 92 ระบุความว่า "เมื่อ กกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทําการ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น (1) กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ (2) กระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข”
ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักษาชาติ ได้ออกแถลงการณ์ ขอน้อมรับพระราชโองการ ด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ทุกพระองค์
ตามที่ได้มีประกาศพระราชโองการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น พรรคไทยรักษาชาติขอน้อมรับพระราชโองการข้างต้นไว้ด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ทุกพระองค์
พรรคไทยรักษาชาติซาบซึ้งในพระเมตตาของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ มหิดล ที่ได้ให้ความเมตตาต่อพรรคฯ พรรคไทยรักษาชาติจะขอทำหน้าที่ตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กฎหมายการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ ด้วยความเคารพในขนบธรรมเนียมราชประเพณี และพร้อมที่จะดำเนินนโยบายเพื่อนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทย ด้วยความเคารพในการตัดสินใจของประชาชน ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จากนั้น พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นถึงการพิจารณาคุณสมบัติบัญชีนายกรัฐมนตรี ของพรรคไทยรักษาชาติ โดยระบุว่า ในวันที่ 11 ก.พ.นี้ คณะกรรมการ กกต.จะประชุมคาดว่า จะมีการหารือในทุกเรื่อง รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ ด้วย
โดยก่อนหน้านี้มีปัญหาทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ของ กกต. ว่า จะสามารถพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ได้หรือไม่ เนื่องจากฎหมายได้กำหนดให้กกต.ประกาศเพียงรายชื่อผู้ที่พรรคการเมืองเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น รวมถึงการพิจารณาระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงฯ ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
ต่อมาได้เกิดกระแสข่าวลือว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ได้เดินทางไปที่บ้านพักของ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักชาติ (ทษช.) แต่ไม่เจอตัว จนล่าสุด นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดขอนแก่น แม่ของ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ได้เปิดเผยที่สนามบินขอนแก่น สั้น ๆ ว่า มาทำธุระที่ อ.หนองสองห้อง ซึ่งเป็นบ้านเกิด ตั้งแต่เมื่อวาน และกำลังเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ได้รับการติดต่อการส่งข่าวจากลูกชายว่าไม่ต้องเป็นห่วงสบายดี เขาเป็นห่วงความรู้สึกแม่ ขณะเดียวกันพี่น้องในเขตพื้นที่หนองสองห้องเมื่อทราบข่าว ได้ฝากความห่วงใยให้กับร้อยโทปรีชาพล ด้วย
อย่างไรก็ตาม นางระเบียบรัตน์ และครอบครัว รวมทั้ง ร.ท.ปรีชาพล หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ปกติจะพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่วนที่อำเภอหนองสองซึ่งเป็นบ้านเกิด ปัจจุบันไม่มีบ้านของตัวเอง เพียงแต่มีบ้านของน้องสาวและจะเดินทางมาพักอาศัยด้วยเป็นประจำ รวมทั้งเคยเป็นที่ทำการพรรคการเมืองของ ร.ท.ปรีชาพล แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสำนักงานของนานวันนิวัติ สมบูรณ์ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เขต 9 ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของนางระเบียบรัตน์