- 30 มี.ค. 2562
"ท่าน ส.ส.ปิยะบุตร" ที่เคยบอกว่า "(กษัตริย์) ต้องสาบานต่อสภาผู้แทนว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ" จะทำอย่างไรในรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา!!
บทความพิเศษ : ดร. เวทิน ชาติกุล
ว่าที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ร่วม 80 คนถ้าฝ่าด่าน "ยุบพรรค" ไปได้ (ซึ่งความคิดเห็นส่วนตัวผมคิดว่าอย่าไปยุบเขาเลย หลายคนที่เขาเป็น ส.ส.ก็น่าเป็นตัวแทนกลุ่มคนที่แทบไม่เคยมีใครไปสนใจ ส.ส.ที่พิการทางสายตา, ส.ส.ชาวม้ง, ส.ส.LGBT อะไรเหล่านี้พรรคเขาก็มีส่วนดีอยู่ สร้างสรร ชนิดพรรคอื่นไม่คิดหรือไม่เห็นว่าจะทำกันบ้าง)
คุณธนาธร, คุณปิยะบุตร หรือ อ.ปิยะบุตร แห่ง นิติราษฏร์ ก็จะกลายเป็น ท่านส.ส.ธนาธร ท่านส.ส.ปิยะบุตร ในอีกไม่ช้าไม่นาน และไม่เกิน 24 พ.ค.ท่านผู้ทรงเกียรติทุกคนก็จะต้องเข้าร่วมพิธีการที่สำคัญคือ รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา
รัฐพิธีนี้เป็น "พิธีการหนึ่งที่สำคัญและเป็นเหตุการณ์อันทรงเกียรติที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณของประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย" (1) โดยดำเนินมาตั้งแต่ ปี 2475จนถึงปัจตุบัน
ในเว็บไซด์ของรัฐสภา ระบุว่า "เป็นพิธีการที่สำคัญที่สุดของรัฐสภาเนื่องด้วยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ มาประกอบรัฐพิธีก็ได้"
(2) “รัฐ” เป็นฝ่ายดำเนินการกราบบังคมทูลขอพระมหากรุณาธิคุณเพื่อทรงรับไว้เป็นงานรัฐพิธี โดยมีพระมหากษัตริย์ หรือพระรัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานเพื่อเป็นการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างเป็นทางการ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ในวันที่ 28 มิถุนายน 2475 (3) (4 วันหลังคณะราษฏร์ทำรัฐประหาร!! ไป "เลือก-ตั้ง" กันตอนไหน เร็วมากกกก... แซว)ตอนนั้นยังไม่มีอะไรบัญญัติไว้ชัดเจนว่าต้องทำอะไรอย่างไร ก็ได้อาศัย #ราชประเพณี เป็นแนวทาง
แต่จนถึงปัจจุบัน "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550" ระบุไว้ มาตรา 128 “พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภาทรงเปิดและทรงปิดประชุม”
มาตรา 127 วรรคหนึ่ง “จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรก คือภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาท ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาทำรัฐพิธีก็ได้”
ในการเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก 28 มุถุนายน 2474 นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนิน แต่ พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้าพระยามหิธร เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ไปอ่านในการเปิดประชุม ความว่า "วันนี้ สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นการสำคัญอันหนึ่งในประวัติการณ์ของประเทศอันเป็นที่รักของเรา ข้าพเจ้าเชื่อว่า ท่านทั้งหลายคงจะตั้งใจที่จะช่วยกันปรึกษาการงานเพื่อนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศสยามสืบไป
และเพื่อรักษาความอิสรภาพของไทยไว้ชั่วฟ้าและดิน ข้าพเจ้าขออำนวยพร แก่บรรดาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้บริบูรณ์ด้วยกำลังกาย กำลังปัญญา เพื่อจะได้ช่วยกันทำการให้สำเร็จตามความประสงค์ของเราและของท่านซึ่งมีจุดมุ่งหมาย อันเดียวกันทุกประการเทอญ" (4)
วันที่ 1 มิถุนายน 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชอุตสาหะ "โดยที่สุขภาพของพระองค์ยังไม่สมบูรณ์" เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรก เป็นรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาที่มีขึ้นภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 เพียงไม่กี่วัน (5)
ส่วนรัฐพิธีครั้งล่าสุดคือวันที่ 1 สิงหาคม 2554 โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งยังทรงเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในรัฐพิธีนี้ (6)
สำหรับขั้นตอนในพิธีนั้น “รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจะกระทำ ณ.ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะทูตานุทูตที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทุกคนจะแต่งกายเต็มยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่ได้รับพระราชทาน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงพระที่นั่งอนันตสมาคม แล้วเสด็จขึ้นประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ บนพระราชบัลลังก์ ภายใต้นพปฏลมหาเศวตฉัตรภายในพระวิสูตร เมื่อประทับพระราชบัลลังก์เรียงร้อยแล้ว มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านไขพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตรมโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภา จบแล้ว มหาดเล็กรัวกรับให้สัญญาณอีกครั้งหนึ่ง ชาวม่านปิดพระวิสูตร มีประโคมและสรรเสริญพระบารมีเช่นเดียวกับเมื่อเสด็จออก อันเป็นการสิ้นสุดของการเสด็จออกมหาสมาคมเพื่อทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา”
(7) รัฐพิธีนี้เป็น #ธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ #เป็นราชประเพณี ตาม “พระราชอิสริยยศตามโบราณราชประเพณี” ของไทย #ภายใต้การปกรองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งเป็นคำที่ พรรคอนาคตใหม่ทั้งพรรค รวมคุณธนาธร (ที่อาจถูกตัดสิทธิ์) ท่านส.ส.ปิยะบุตร เลือกที่จะไม่เขียนคำคำว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไว้ในแม้แต่ในนโยบายและจุดยืนของพรรค
ในอีกด้านอาจารย์ ปิติ ศรีแสงนาม (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้กล่าวถึงจุดยืนที่ชัดเจนของ ท่านส.ส.ปิยะบุตร เอาไว้ว่า (ขออนุญาตเรียบเรียงให้กระชับ โดยจะอ้างที่มาไว้ด้วยเพื่อให้เข้าไปตามอ่านฉบับเต็มได้เอง)
“...ในการเสวนาหัวข้อ “การเมือง ความยุติธรรม สถาบันกษัตริย์” ซึ่งจัดโดยกลุ่ม 24 มิถุนาฯ เมื่อวันที่ 17/2/2013 โดยในนาทีที่ 7.25 อาจารย์ปิยบุตรก็กล่าวถึงแนวคิดของ Louis Antoine de Saint-Just…ในการพิจารณาคดีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
“...คุณไม่ต้องไปดูหรอกว่าองค์พระประมุขหรือพระมหากษัตริย์เขาจะเป็นคนดี หรือ คนเลว เขาจะทำงานดี หรือ ทำงานไม่ดี โดยสภาพการณ์ของสถาบันกษัตริย์ ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ มันเป็น Tyranny มันเป็นทรราชในตัวมันเอง...” และ “...การเป็นทรราชไม่ได้ถือว่าเป็นคนเลว แต่เพราะการถืออำนาจของทั้งหมดทุกคนไปถือไว้ที่คนคนเดียว มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว มันผิดตั้งแต่วันเริ่มต้น โดยลักษณะทางธรรมชาติของตัวสถาบันเอง ไม่ได้เกี่ยวกับตัวบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น...” (7)
โดย อาจารย์ ปิติ ระบุว่า “ผมเชื่ออีกเหมือนกันว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ และแสดงให้เห็นว่าอาจารย์(ปิยะบุตร)อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเงื่อนไขและบริบทของสังคมไทย” (8) และไม่นับว่าเมื่อ “...พยายามไปหา Quote ของ Louis Antoine de Saint-Just ที่อาจารย์ปิยบุตรอ้าง แต่ผมยังหาไม่เจอ อันที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นอันนี่ครับ “One cannot reign innocently: the insanity of doing so is evident. Every king is a rebel and a usurper” (8)
ซึ่งทำให้ อาจารย์ปิติเข้าใจว่า “...อาจจะเป็นการวิเคราะห์โดยตัวอาจารย์เองก็ได้ แต่ผมคิดว่าแนวคิดแบบนี้อันตรายครับ” (9) ตอนนี้ ค่อนข้างชัดเกิน 80-90% แล้วว่า คุณธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อาจไม่ได้เป็น "ท่าน ส.ส.ธนาธร" อย่างแน่นอน เพราะกรณี "ฃุกหุ้นสื่อ"
ส่วนท่านส.ส.ปิยะบุตร ซึ่งได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นจุดยืนที่ “ยังไม่ค่อยเข้าใจเงื่อนไขและบริบทของสังคมไทย”, เป็น “อันตราย” และ “คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ”
ถึงวันนี้ก็เกิดความสงสัยกับสังคมว่าจะไปยืนอยู่ในรัฐพิธีที่สำคัญในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบไหนอย่างไร และในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนฯจะ #รับสนองพระราชดำรัส เปิดประชุมรัฐสภากันแบบไหนอย่างไรในเมื่อครั้งหนึ่งเคยพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
“...สถาบันกษัตริย์จำเป็นต้องปรับตัวให้อยู่ได้กับประชาธิปไตย โดยแยกการใช้อำนาจจากรัฐให้เป็นเพียงหน่วยทางการเมืองหน่วยหนึ่ง ซึ่งทำให้กษัตริย์ไม่สามารถใช้อำนาจใด ๆ ผ่านรัฐได้อีกต่อไป โดยในทางรูปธรรมนั้นหมายถึง #การไม่อนุญาตให้กษัตริย์สามารถทำอะไรเองได้ เนื่องจากผู้ที่รับผิดชอบคือผู้สนองพระบรมราชโองการ รวมถึงการไม่อนุญาตให้กษัตริย์แสดงพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ... "(10)
และ "วิธี... ทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญคือ เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้สถาบันกษัตริย์มีหน้าที่ในการเคารพและพิทักษ์รัฐธรรมนูญ #ก่อนเข้ารับตำแหน่งต้องสาบานตนต่อสภาผู้แทนราษฎรว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ"(11)
หมายเหตุ
(1) (2) (3) (4) (5) "รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา". https://www.parliament.go.th/ratpiti/rattapite.htm?vcode=175
(6) "รัฐพิธีสมัยเปิดประชุมรัฐสภา 2554". https://youtu.be/tXmQlRO7LFI
(7) (8) (9) ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156990966877225&id=625882224
(10) ปิยะบุตร แสงกนกกุล เสวนาเรื่อง "เสรีภาพนิสิตนักศึกษาในพระปรมาภิไธย" 27 ธันวาคม.2554. อ้างอิง https://hilight.kapook.com/view/67008
(11) ปิยบุตร แสงกนกกุล 18 มีนาคม 2555 ในงาน "แขวนเสรีภาพ" ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว. อ้างอิง
https://prachatai.com/journal/2012/03/39717