ชาวบ้านโวย สุสานหอยกระบี่ พื้นที่ทรุดโทรมหนัก นทท.ถึงกับขอคืนเงินค่าเช้าชม ฟอสซิลถูกคลื่นซัดพังเสียหายหนัก

ชาวบ้านโวย “สุสานหอยกระบี่” พื้นที่ทรุดโทรมหนัก นทท.ถึงกับขอคืนเงินค่าเช้าชม ฟอสซิลถูกคลื่นซัดพังเสียหายหนัก

 

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.62 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ พพ.2 (สุสานหอย) หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บ้านแหลมโพธิ์ ต.ไสไทย อ.เมืองกระบี่ ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของสุสานหอย 75 ล้านปี แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.กระบี่ หลังมีชาวบ้าน และบรรดาผู้ประกอบการร้านจำหน่ายของที่ระลึก ในพื้นที่ ร้องเรียนว่า สุสานหอยในปัจจุบัน เริ่มมีสภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก

 

 

 

ที่ผ่านมาหน่วยงานรับผิดชอบอย่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไม่เคยจัดสรรงบประมาณลงมาซ่อมแซม ปรับปรุงพื้นที่ ปรับภูมิทัศน์ให้ดีขึ้น จน นทท.ชาวต่างชาติ พากันเอือมระอา ไม่อยากเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ปัจจุบันมีเพียง นทท.ชาวไทย เท่านั้นที่เข้ามาท่องเที่ยว ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่ และผู้ประกอบการ ที่พากันขาดรายได้

 

ทั้งนี้ บรรยากาศ นทท.ในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ พบว่ายังคงมี นทท.ชาวไทย เดินทางเข้ามาเที่ยวกันพอประมาณ บางกลุ่มเพิ่งมาชมฟอสซิลเปลือกหอย เป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนเข้าชมจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับทางอุทยานฯ คนไทยผู้ใหญ่หัวละ 40 บาท เด็กหัวละ 20 บาท ส่วนชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่หัวละ 200 บาท เด็กหัวละ 1000 บาทซึ่งพบว่ามี นทท.บางส่วน ที่ไม่พึงพอใจกับสภาพพื้นที่ ต้องมาขอคืนเงิน และเดินทางกลับออกไป ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ ต่างมองว่า สาเหตุที่ นทท.ไม่อยากเข้ามาเที่ยวชม เนื่องจากพื้นที่สุสานหอย ไม่ได้มีจุดดึงดูด หรือจุดสนใจให้กับ นทท. ทำให้ นทท.มองว่าไม่คุ้มค่ากับการจ่ายเงินเข้ามาเที่ยวชม ประกอบกับสิ่งสาธารณูปโภคหลายอย่าง อาทิ ศาลาสำหรับนั่งพัก ห้องน้ำ เริ่มมีสภาพชำรุดทรุดโทรม ที่ผ่านมามีเพียง จนท.หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ต้องหาเงินมาซ่อมแซมกันเองเท่าที่ทำได้ รวมถึงปัญหาน้ำจืดสำหรับบริการ นทท.ก็ไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากน้ำมีสภาพเป็นสนิมเหล็ก ทางหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ จึงต้องขอใช้น้ำประปาจาก อบต.ไสไทย แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

 

 

 

 

 

นายพิชัย ขนานใต้ อายุ 66 ปี ประธานชมรมผู้ประกอบการสุสานหอยฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า พื้นที่สุสานหอย เปิดให้บริการ นทท.มาแล้วนานกว่า 40-50 ปี ที่ผ่านมาไม่ได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่จากหน่วยงานรับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมอุทยานฯ ไม่เคยจัดสรรงบประมาณลงมาซ่อมแซม ปรับปรุงสถานที่ แม้แต่อาคารสำนักงานของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่สร้างมาแล้วหลายสิบปี ก็ไม่เคยได้ซ่อมแซมปรับปรุง จนเริ่มมีสภาพชำรุด จนท.ในพื้นที่ต้องดิ้นรนซ่อมแซมกันเองเท่าที่จะทำได้ ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ชำรุดทรุดโทรม บางส่วน จนท.ในพื้นที่ไม่มีงบประมาณจะทำ ก็ต้องปล่อยทิ้งไว้ เป็นภาพที่ไม่สวยงาม นอกจากนี้สภาพพื้นที่ก็ไม่มีการจัดภูมิทัศน์ให้เป็นสิ่งดึงดูด นทท. จนทำให้ นทท.ลดจำนวนลงทุกวัน แต่เดิมมีผู้ประกอบการเปิดร้านกันมากกว่า 100 ร้าน ปัจจุบันต้องปิดร้านหนีหายกันไปเกือบครึ่ง เพราะทนอยู่ต่อไม่ไหว

 

“ตนไม่เข้าใจการบริหารจัดการของกรมอุทยานฯ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ถือเป็นอุทยานที่จัดเก็บรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่กรมอุทยานฯ สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ปีละ 600 ล้านบาท แต่กรมอุทยานฯ กลับไม่เคยจัดสรรงบประมาณ กลับมาปรับปรุงพื้นที่เลย ตนเคยเห็น นทท.ต่างชาติหลายคน จ่ายเงินเข้าไปเที่ยวชม พอไปเห็นภาพ ถึงกับต้องเดินกลับมาขอเงินคืน และไม่กลับมาอีกเลย ก่อนนี้เคยมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการ และชาวบ้าน หลายครั้งแล้ว ว่าจะมีการวางแผนปรับปรุงให้ แต่ทุกครั้งก็เงียบหายไป จนพวกตนและชาวบ้าน ไม่อยากจะเข้าร่วมประชุมอีกแล้ว” นายพิชัย กล่าว

 

ขณะที่ น.ส.วนิดา สงหล่อ อายุ 29 ปี ซึ่งเดินทางมาจาก จ.พัทลุง กล่าวด้วยว่า ตนเพิ่งมาเที่ยวที่สุสานหอย เป็นครั้งแรก ยอมรับว่าประทับใจกับการที่มีซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์ ให้ผู้คนได้เป็นแหล่งเรียนรู้ แต่อยากฝากถึงหน่วยงานรับผิดชอบ ให้ช่วยปรับปรุงสภาพพื้นที่ ให้เป็นที่ดึงดูด นทท.ด้วย เพราะพื้นที่แห่งหากปรับสภาพพื้นที่ให้ดี เพิ่มจุดเรียนรู้ หรือการมีส่วนร่วมของ นทท. จะดึงดูดให้ นทท.อยากเข้ามาเที่ยวมากขึ้น

 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับสุสานหอย 75 ล้านปี จ.กระบี่ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งฟอสซิลในยุคโบราณ ที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.2551 แต่ปัจจุบัน นอกจากสภาพพื้นที่เริ่มทรุดโทรม ยังพบว่าสภาพที่ตั้งของแนวฟอลซิล เริ่มพังทลายจุด เนื่องจากพื้นที่ถูกน้ำทะเลกันเซาะชายฝั่ง ทำให้แผ่นฟอสซิลแผ่นใหญ่ เริ่มแตกหักเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งหากไม่มีการวางมาตรการป้องกัน เชื่อว่าฟอสซิลเปลือกหอยเหล่านี้ อาจจะเสียหายไปมากกว่านี้

 

 

 

 

 

 

 

ข่าว/ภาพ บัญฑิต รอดเกิด ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ กระบี่