- 27 เม.ย. 2562
อ่านชัดๆแล้วไม่ต้องแปลความ!! ทำไมกม.แพ่ง มาตรา 1129 ในความหมาย “ปิยบุตร” เข้าข่ายเจตนาบิดเบือน ”หุ้นวี-ลัคมีเดีย” ให้สาธารณชนเข้าใจผิด??
ตามติดต่อเรื่องกับประเด็นร้อนว่าด้วยการถือครองหุ้นวี-ลัค มีเดีย ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเข้าข่ายต้องห้ามตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42
ซึ่งระบุถึงข้อห้าม บุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะเนื้อความในวงเล็บ (3) ระบุชัดเจนถึงข้อห้าม สำหรับบุคคลที่เข้าข่าย การเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
โดยเบื้องต้นนายธนาธรมีกำหนดจะเข้าชี้แจงข้อกล่าวหาต่อกกต.ในวันที่ 30 เมษายน 2562 หลังจากออกมายืนยันอีกครั้งว่า ไม่กังวล เพราะการโอนหุ้นวี-ลัค มีเดีย เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ก่อนจะไปไกลถึงการแสดงความเห็นต่อพลังเคลื่อนไหวของมวลชน ในเชิงเปรียบเทียบว่าเป็นไปเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ไม่ใช่ตัวนายธนาธร
ในกรณีนี้ถ้าถอดถ้อยคำของนายธนาธร จะเห็นว่านายธนาธรยังมั่นใจว่า ขั้นตอนการโอนหุ้นเสร็จครบถ้วนตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 โดยไม่สนใจว่า จะมีข้อสงสัยว่ากระบวนการทั้งหมด ได้ดำเนินการย้อนหลัง หรือไม่ อย่างไร จากผลที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 จนทำให้นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ถูกถอดถอนออกจากรายชื่อ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร ของพรรคอนาคตใหม่
รวมไปถึงการตั้งข้อสังเกตของสื่อมวลชน ต่อกรณีการลงวันที่โอนหุ้นตามหนังสือแจ้งต่อ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 21 มีนาคม 2562 จนนำไปสู่การสืบค้นอีกหลายประเด็นต่อมา กระทั่งมีการนำแสดงเอกสาร หนังสือขาย-โอนหุ้น จำนวน 675,000 หุ้น หมายเลขหุ้น 1350001-2025000 ให้แก่ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ต่อหน้าพยานบุคคล ลงวันที่ 8 มกราคม 2562
ประการสำคัญก็คือ การยืนในหลักการต่อสู้ข้อกล่าวหาของนายธนาธร หลายคนยังจำได้ว่า นายปิยบุตร เคยออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นนี้ โดยการกล่าวอ้างถึง การโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของนายธนาธร กับนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นมารดา ว่าแล้วเสร็จตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562
โดยมีเอกสาร เป็นเช็คขีดคร่อมการชำระค่าหุ้น ใบหุ้น และตราสารโอนหุ้น ซึ่งเป็นหลักฐานว่ามีการโอนหุ้นจริง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 2 ที่ระบุว่าการโอนหุ้นจะมีผลสมบูรณ์ด้วยการลงรายมือชื่อ ของผู้โอน ผู้รับโอน และพยาน ซึ่งแสดงว่ามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว และในมาตรา 1129
"เรื่องนี้ควรจบตั้งแต่ 8 มกราคม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจอีกแล้ว หุ้นไม่อยู่ในมือคุณธนาธรอีกแล้ว แต่มีสื่อบางสำนักไปโฟกัสการยื่นวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งสมัครส.ส.ไปแล้ว ขอบอกว่า การโอนหุ้นมีผลทางกฎหมายไปหมดแล้ว เป็นเพียงขั้นตอนการแจ้ง ไม่เกี่ยวกับการถือหุ้นของนายธนาธรเลย ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ไม่ควรจะบายปลายขนาดนี้”
ชัดเจนว่ากรณีการชี้แจงของนายปิยบุตรเป็นการนำเสนประเด็นข้อกฎหมาย เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์โดยตรงกับนายธนาธร ทั้ง ๆ ที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 มีใจความสำคัญระบุว่า "อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้น ซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น"
การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่ง ตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย ... การโอนเช่นนี้จะนำมาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น
โดยเฉพาะในวรรคสาม ที่เขียนว่า “การโอนเช่นนี้จะนำมาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”
ขณะเดียวกันในเพจเฟสบุ๊กของ นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าว มีรายละเอียดน่าสนใจทั้งหมด ดังนี้
ในกฎหมายมหาชนจะยึดถือเกณฑ์ตามกฎหมายเอกชนเพียงใด - ประเด็นสำคัญกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้คิดใคร่ครวญประกอบการติดตามข่าวมาต่อเนื่อง ประเด็นข้อกฎหมายหลักที่ต้องพิจารณาในกรณีหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดียของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจคือ ก.ก.ต.จะยึดถือวันใดเป็นวันโอนหุ้นจริง
1. ยึดวันที่บริษัทฯส่งแบบ “บอจ. 5” ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คือ วันที่ 21 มีนาคม 2562 อันเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง
หรือ... 2. ยึดถือวันที่มีการโอนกันจริงตามที่ฝ่าย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวอ้าง คือ วันที่ 8 มกราคม 2562 อันเป็นวันก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง
นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (3) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 2561 มาตรา 42 (3) แล้ว มีข้อกฎหมายสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีนี้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 1129 วรรคสาม "มาตรา 1129 อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น "การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ
อนึ่งตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย "การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น"
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และฝ่ายสนับสนุน ยึดถือเวลาตามข้อ 2 โดยมีประมวลแพ่งมาตรา 1129 วรรคสามนี้เป็นฐานสำคัญ ความหมายตามมาตรา 1129 วรรคสามนี้ คือเมื่อมีการจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ก็ถือว่ามีผลสมบูรณ์แล้ว ไม่ถึงขนาดต้องส่งแบบ บอจ. 5 แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะโดยปกติจะแจ้งปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
แต่การที่สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นอยู่ที่บริษัทนี่แหละคือปมปัญหาเมื่อนำมาใช้กับกรณีนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วบุคคลภายนอกย่อมยากจะรู้ได้ว่าในระหว่างปีมีการโอนหุ้นกันกี่ครั้ง และเอกสารการโอนหุ้นในแต่ละครั้งก็ยากที่จะรู้ได้แน่นอนว่าเป็นจริงตามวันที่ในเอกสารหรืออาจจะมีการทำขึ้นย้อนหลังหรือไม่
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง โดยเฉพาะกฎหมายแพ่ง แต่มีหลักคิดผุดขึ้นมาว่ามาตรา 1129 วรรคสาม คือเหตุผลของกฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็น “กฎหมายเอกชน” มีวัตถุประสงค์ในการวางกฎเกณฑ์ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่ามีความเท่าเทียมกัน ทำมาค้าขายกัน ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังตนเองกันตามสมควร รัฐไม่ควรวางกฎเกณฑ์ที่อาจจะสร้างภาระให้แต่ละฝ่ายมากเกินไป
คำถามคือจะเอากฎเกณฑ์ตาม “กฎหมายเอกชน” มาใช้กับ “กฎหมายมหาชน” ได้แค่ไหน เพียงใด ... โดยเฉพาะ “กฎหมายมหาชน” ในระดับรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่วางกฎเกณฑ์ “ลักษณะต้องห้าม” ของบุคคลที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐ
ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ากฎเกณฑ์ “กฎหมายเอกชน” นั้นไม่สามารถนำมาใช้เป็นกฎเกณฑ์ทาง “กฎหมายมหาชน” ได้ทั้งหมด หากแต่สามารถนำมาใช้ได้เฉพาะบางประการที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อการทำหน้าที่ขององค์กรที่ทำหน้าที่ในทางมหาชนเท่านั้น เพราะวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายทั้ง 2 ลักษณะแตกต่างกัน
กฎหมายมหาชนมุ่งคุ้มครองมหาชนที่ประกอบด้วยบุคคลมีระดับความรู้ความสามารถและสถานะแตกต่างกัน รัฐจำเป็นต้องให้ความคุ้มครองบุคคลส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งแตกต่างโดยพื้นฐานกับกฎหมายเอกชนที่รัฐเพียงวางกฎเกณฑ์สำหรับการทำมาหากิจของบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่าเท่าเทียมกัน รัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายมากเกินความจำเป็น
กลับมาสู่กรณีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ... ในกรณีนี้ “คนภายนอก” ตามประมวลแพ่งมาตรา 1129 วรรคสาม เป็นองค์กรอิสระนาม 'ก.ก.ต.' ที่ทำหน้าที่สำคัญยิ่งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในการกลั่นกรองบุคคลที่มี “ลักษณะต้องห้าม” ออกไปจากการเข้าสู่อำนาจรัฐ !
มิหนำซ้ำ “ลักษณะต้องห้าม” นี้ยังมีโทษค่อนข้างแรง !! ถามว่าถ้าจะยึดถือประมวลแพ่งมาตรา 1129 เป็นเกณฑ์อย่างเคร่งครัด ก.ก.ต.จะรู้ได้อย่างไรว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจยังคงถือหุ้นที่มี “ลักษณะต้องห้าม” อยู่หรือไม่ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 อันเป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง
ในเมื่อเอกสารแบบ บอจ. 5 ที่ทางราชการรับทราบการโอนหุ้นของเขาเป็นครั้งแรกคือวันเวลาตามข้อ 1 วันที่ 21 มีนาคม 2562 หลังวันสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ก.ก.ต.จะไปรู้ถึงการโอนหุ้นตามข้อ 2 ที่มีการกล่าวอ้างว่าเกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเกิดการโต้แย้งแตกแขนงไปอีกหลายประเด็นว่าการโอนหุ้นในวันนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่
กฎเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรคสาม จึงไม่น่าจะนำมาหักล้างกับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งมาตรา 42 (3) ได้ทั้งหมด
เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เชื่อว่าก.ก.ต.น่าจะต้องยึดถือระยะเวลาตามข้อ 1 ตามเอกสารที่ปรากฎต่อราชการเป็นหลัก กล่าวคือยึดตามแบบ บอจ. 5 ที่ปรากฎเป็นครั้งแรกต่อทางราชการ นั่นคือวันที่ 21 มีนาคม 2562 อันเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง
ทั้งหมดนี้ พยายามพูดตามความเข้าใจด้วยภาษาชาวบ้านที่พอเรียนพอรู้กฎหมายอยู่บ้างเท่านั้น ที่ลองตั้งประเด็นขึ้นมาเพราะเห็นว่าน่าสนใจในทางวิชาการ ข้อยุติ จะอยู่ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง คือ ก.ก.ต.ในเบื้องต้น และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือศาลรัฐธรรมนูญแล้วแต่กรณีในท้ายที่สุด