- 28 เม.ย. 2562
พ.ต.อ.กฤษณะ แจงกรณี สาวงง ตร.เอารถที่ถูกยึดเป็นของกลางไปใช้ หากเกิดความเสียหายหรือของกลางสูญหาย ก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญากับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีที่มีการโพสต์ในโลกโซเชียลมีเดียจากสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ Bow Sunita กรณีที่รถเก๋งของตนได้ถูกยึดไว้เป็นของกลางในคดีที่สถานีตำรวจ ซึ่งภายหลังตนได้ไปตรวจสอบอยู่บ่อยครั้งกลับไม่พบรถของตนจอดอยู่ ต่อมาตนได้เดินทางมาตรวจสอบที่สถานีตำรวจอีกครั้ง พบว่าภายในรถของตนที่ถูกยึดนั้น มีเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของบุคคลอื่น อยู่ภายในรถของตน ที่ สภ.ท่าหิน ภ.จว.ลพบุรี จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย ว่า
ได้รับรายงานจาก สภ.ท่าหิน ภ.จว.ลพบุรี ว่า รถยนต์เก๋งคันดังกล่าวนั้นถูกตรวจยึดไว้เพื่อเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นของกลางในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดียาเสพติด โดยอยู่ระหว่างพนักงานสอบสวนรวบรวมกำลังพยานหลักฐานและมีความเห็นในทางคดีเสนอต่อพนักงานอัยการเพื่อยื่นฟ้องในชั้นศาลตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งได้เก็บรักษารถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวไว้ภายในสถานีตำรวจ พร้อมกันนี้ พล.ต.ต.สุนทร โตรอด ผบก.ภ.จว.ลพบุรี ได้สั่งการให้มีตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว
โดยต้องรายงานผลการตรวจสอบให้ทราบภายใน 3 วัน เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กับทั้ง พ.ต.อ.ณัชภูมิ วรรณวิไล ผกก.สภ.ท่าหิน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว โดยให้คณะกรรมการทำการตรวจสอบด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หากผลการตรวจสอบพบว่า มีข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินการในทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาดต่อไป อีกทั้งในขณะนี้ จากการตรวจสอบในเบื้องต้นยังไม่พบว่ารถยนต์เก๋งดังกล่าว เกิดการเสื่อมสภาพหรือความเสียหายแต่อย่างใด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง - สาวคาใจรถถูกยึดแต่มีร่องรอยเหมือนถูกนำไปใช้งาน
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า คงต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง หากพบข้อบกพร่อง หรือเกิดการปล่อยปละละเลย ก็จะดำเนินการในทางวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยและการเก็บรักษาให้ดี มิใช่นำออกไปใช้หรือให้ผู้อื่นนำออกไปใช้โดยพลการ หากเกิดความเสียหายหรือของกลางสูญหาย ก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญากับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับและสั่งการมาโดยตลอด ห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อำนาจหน้าที่ ประพฤติผิดในทางมิชอบ แสวงหา หรือ ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการเหลื่อมล้ำกับกฎหมาย สร้างความเดือนร้อนแก่พี่น้องประชาชน โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานด้วยความสุจริต ยุติธรรม ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของกฎหมาย และยังมีข้อสั่งการไปยังกองบัญชาการทุกภาคส่วนให้ผู้บังคับบัญชาควบคุม เสริมสร้างความประพฤติและวินัยข้าราชการตำรวจ ทั้งเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ตามคำสั่งที่ 1212/2537 ในการกวดขัน กำกับ ดูแล สอดส่องความประพฤติและพฤติกรรมของข้าราชการตำรวจภายใต้การปกครองบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด
หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความพฤตินอกรีต หรือแม้กระทั่งใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ให้ดำเนินทางวินัยและอาญา อย่างเด็ดขาด ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์กรและเสียกำลังใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประพฤติปฏิบัติดี.