- 30 เม.ย. 2562
ชายเก็บดอกไม้ทะเลพร้อมปลานีโม่ ขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวจีนดู ที่เกาะยอ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เข้ามอบตัวแล้ว สารภาพเป็นชายคนเดียวกับในคลิป อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หยิบดอกไม้ทะเลเพื่อจะย้ายจากน้ำตื้นไปน้ำลึก พร้อมยืนยันไม่ใช่ไกด์นำทัวร์ แค่พาเพื่อนไปเที่ยวเพียงเท่านั้น
กลายเป็นเรื่องราวที่โลกออนไลน์เกิดกระแสวิจารณ์อย่างหนัก เมื่อมีการแชร์คลิปวิดีโอความยาว 2 นาที ที่สะเทือนความรู้สึกของบรรดานักอนุรักษ์เป็นอย่างมาก ซึ่งคลิปดังกล่าวมีชายไทยคนหนึ่งดำน้ำลงไปใต้ทะเล พร้อมทั้งหยิบเอาหินปะการังที่มีดอกไม้ทะเลซึ่งเป็นที่อยู่ของปลาการ์ตูนหรือปลานีโม่ ขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวชาวจีนได้ชมที่บนผิวน้ำ แถมมีปลาการ์ตูนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในดอกไม้ทะเลติดขึ้นมาด้วย คาดว่าคลิปดังกล่าวถ่ายจากเกาะใดเกาะหนึ่งในทะเลอันดามัน
โดย จิตอาสา Go Eco Phuket ได้นำเรื่องราวดังกล่าวออกมาแชร์ ระบุข้อความว่า "#คำว่าเลวแรงไปไหมครับสำหรับนายคนนี้ คนรักทะเลทำงานด่วนครับ ช่วยสืบให้หน่อยเหตุเกิดขึ้นที่ไหน? และนายคนนี้คือใคร? เป็นมัคคุเทศก์รึป่าว อยากถามว่า ตอนที่เขาทำแบบนี้ เขาใช่อะไรคิด หัวสมองหรือหัวแม่โป้งทีนครับ!! ทำไปเพื่ออะไร เพื่อแลกกับความสะใจ หรือเศษสตางค์จากแขกที่มาเที่ยว พวกมันทำแบบนี้ได้อย่างไร!? ไม่มีหัวจิตหัวใจสำนึกรักทะเลกันบ้างรึไง?? #ทำลายทรัพยากรธรรมชาติเท่ากับทำลายชาติ"
อ่านข่าว : ไกด์หยิบดอกไม้ทะเล ชูขึ้นเหนือน้ำ ให้นทท.สัมผัส(คลิป)
ล่าสุด กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้แจ้งว่า นายเอกวัฒน์ อายุ 31 ปี ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่ สภ.สัตหีบแล้ว โดยรับสารภาพว่ากระทำผิดตามคลิปจริง และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณเกาะยอ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี แต่เจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่ใด้เป็นไกด์ทัวร์แต่เป็นการนำเพื่อนมาเที่ยว ซึ่งขณะเกิดเหตุ เพื่อนๆ ชาวจีนลงดำน้ำในระดับความลึกเมตรครึ่ง ก็เห็นดอกไม้ทะเลจำนวน 2 ต้น อยู่ในน้ำใกล้ชายฝั่ง เลยคิดว่าหากน้ำลงดอกไม้ทะเลอาจตายได้จึงรีบหยิบขึ้นมา เพื่อจะไปวางลงในน้ำลึก แต่ในดอกไม้มีปลาการ์ตูนอยู่อาศัยกันจึงจับแยกใส่กระชอนก่อนนำไปปล่อย
ทั้งนี้ นายเอกวัฒน์ ได้ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาทำลายธรรมชาติ แต่เป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะกลัวดอกไม้ทะเลจะตาย แต่เพื่อนก็ถ่ายวิดีโอแล้วนำไปลงคลิปจนเกิดเรื่องขึ้น ขอยอมรับความผิดทุกกรณี
นอกจากนี้ เบื้องต้นกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประสานตำรวจลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 4 และ 16 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยจะต้องตรวจสอบอกีครั้งว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนาที่เข้าข่าย พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวหรือไม่เพื่อดำเนินตามกฎหมายต่อไป