- 20 มิ.ย. 2562
อย่ามั่นใจเกิน!! กางรธน.จริงหรือไม่ “พรรคฝ่ายค้าน” จะได้เปรียบชิงฟ้อง 41 ส.ส. ถือหุ้นสื่อ “ธนาธร” สิร้อนใจหนักขอเลื่อนศาลรธน.รอบ 2
เดินหน้าเต็มสูบเวลานี้ สำหรับพรรคอนาคตใหม่ในการเรียกร้อง เชิงกดดันกระบวนการยุติธรรม ให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการกับ 41 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ภายใต้กรอบวิธีการเดียวกับ ที่มีการออกมาก่อนหน้า ในกรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เรื่องการถือครองหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐเลือกแก้เกมส์นี้ โดยการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของ 27 ส.ส ในสังกัด พรรคพลังประชารัฐ โดยมีเหตุสำคัญ ด้วยข้ออ้างว่า ส.ส.ของพรรคที่ถูกยื่นคำร้องถือครองหุ้นสื่อ เป็นเพียงการจดแจ้งในบริคณห์สนธิ หรือ เอกสารก่อตั้งบริษัทจำกัด ซึ่งแตกต่างจากกรณีของนายธนาธร ที่มีการดำเนินกิจการประกอบธุรกิจสื่อแล้ว
รวมถึงในกรณีนี้หากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไปในแนวทางเดียวกับ นายธนาธร ก็อาจส่งผลกระทบต่อการประชุมสภา และการบริหารจัดการในระบบรัฐสภาในอีกหลายด้าน ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
แน่นอนแนวทางนี้ย่อมถูกปฏิเสธจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยทางด้าน นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การดำเนินการของพรรคพลังประชารัฐ เรื่องการขอคุ้มครองชั่วคราว เป็นการเอาเปรียบและขาดสปิริตทางการเมืองมากเกินไป
ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมและยืนอยู่บนมาตรฐานอันเดียวกัน ในกรณีที่นายธนาธร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ก็ควรที่จะใช้หลักเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกันนี้กับ 41 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล .ที่ถูกยื่นคำร้องว่าขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้น ในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ในการทำกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆเช่นเดียวกัน
เหตุกรณีนี้ “สำนักข่าวทีนิวส์” เคยชี้ให้เห็นแล้วว่าเป้าหมายของการเร่งรัด กดดันกระบวนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ มีทิศทางชัดเจนเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะการต่อสู้ในระบบรัฐสภา ซึ่งต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากเป็นองค์ประกอบการในการตัดสิน
ทั้งการผ่านร่างกฎหมาย หรือ แม้กระทั่งการเสนอญัตติสำคัญ อย่าง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลงมติ จากเดิมจำนวนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลมีทั้งสิ้น 254 เสียง และ พรรคร่วมฝ่ายค้าน 246 เสียง
อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสาม ว่าด้วยผลคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ กรณีให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
โดยการระบุว่า “ มิให้นับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสอง เป็นจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา”
ทำให้ต้องประเด็นนี้มีน้ำหนักต้องพิจารณาประกอบว่า ท้ายสุดแล้ว การยื่นคำร้องเอาผิดกับส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล จะมีผลในระดับใดทางการเมืองกันแน่ ??
ด้วยเหตุผลต้องไม่ลืมว่า ทางด้าน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็กำลังเคลื่อนไหวเพื่อให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส. ชุดแรกจำนวน 20 คน
จาก 7 พรรคฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย , พรรคเสรีรวมไทย , พรรคอนาคตใหม่ , พรรคพลังปวงชนไทย , พรรคเศรษฐกิจใหม่ , พรรคเพื่อชาติ และพรรคประชาชาติ ที่มีชื่อเป็นผู้ถือครองหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการ ประเภท หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน เข้าข่ายขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในทีนี้ถ้าพิจารณาจาก รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสาม “ มิให้นับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสอง เป็นจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา”
เท่ากับว่าในกรณีถ้าศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ พรรคร่วมฝ่ายค้าน อยู่ในเงื่อนไขเดียวกันทั้งหมดกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คือ พักการทำหน้าที่ส.ส. ก็ใช่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะกุมความได้เปรียบทางการเมือง อย่างที่หลายคนเข้าใจ ด้วยเงื่อนไขว่า สภาผู้แทนฯไม่ได้มีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ 500 และครึ่งหนึ่งก็คะแนนเสียงข้างมาก ก็ไม่ใช่ 250 เหมือนเดิม
แต่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเกิดอะไรขึ้น เมื่อนายธนาธร ตัดสินใจส่งทีมกฎหมายไปยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอขยายเวลาในการส่งเอกสารคำชี้แจงกรณีถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นครั้งที่ 2 ออกไปอีก 15 วัน จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อตรวจความถูกต้องของเอกสาร
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้า “ธนาธร” และเครือข่ายอนาคตใหม่ ยืนยันเสียงแข็งมาโดยตลอด เรื่องความถูกต้องในการขาย-โอนหุ้น บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด และความมั่นใจในหลักฐานที่นำเสนอผ่านทุกช่องทางสื่อ!!