ออกหมายเรียก 4 รุ่นพี่ม.ดังภูเก็ต สั่ง น้องมิ้นท์ วิ่งทำโทษจนช็อกดับ

สืบเนื่องจากกรณีที่ น.ส.พรพิพัฒน์ เอียดดำ เสียชีวิต ทางมหาวิทยาลัยฯ ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งทางมหาวิทยาลัยฯไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้ความช่วยเหลือเยียวยาเงินเป็นจำนวน 100,000 บาท และได้ติดต่อไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตแล้ว พร้อมกับจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบข้อเท็จจริง หากได้ข้อสรุปแล้วจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง 

กระทั่งต่อมา อาจารย์  ธีรพงษ์ หนูไชยแก้ว คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์   ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่า เบื้องต้นอยู่ในระหว่างรอผลการชันสูตรจากแพทย์  ทางมหาวิทยาลัยทราบว่าน้องมีการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ จากนั้นมีอาการวูบ และนำส่งโรงพยาบาล เข้ารักษาตัวในห้องไอซียู 

"ประเด็นเรื่องการถูกรุ่นพี่ทำโทษให้วิ่งรอบแอ่งน้ำ 8 รอบ เรื่องนี้อยู่ระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งจะได้แจ้งต่อไป โดยได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น เป็นทีมผู้บริหาร และงานนิติการ เพื่อสอบหาข้อเท็จจริง โดยจะดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยนำผู้เกี่ยวข้องทุกคนมาสอบ ถ้าพบว่ามีความผิดจะได้ลงโทษทางวินัยต่อไป"

อ่านข่าว - อธิการบดี ราชภัฏภูเก็ต นำแถลงปมมรณะสลด น้องมิ้นท์ ยันเสียงแข็ง ไม่ใช่เหตุรับน้องใหม่

ล่าสุด พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่มีการรับน้อง ม.ดัง รุ่นพี่สั่งลงโทษวิ่ง ต่อมารุ่นน้องเกิดอาการช็อก เสียชีวิต เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.เมืองภูเก็ต ว่าได้รับรายงานเพิ่มเติมจาก สภ.เมืองภูเก็ต ว่า พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาอย่างต่อเนื่อง 

โดยได้ทำการสอบสวนปากคำพยานผู้ที่เกี่ยวข้องไปเเล้วกว่า 10 ปาก ทั้งนี้อยู่ระหว่างรอรายงานชันสูตรผลิกศพจากเเพทย์ เบื้องต้นพบว่ามีผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นพี่ จำนวน 4 ราย โดยในขั้นตอนต่อไป พนักงานสอบสวนจะมีหมายเรียกไปยังผู้กระทำความผิดเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา และหากการสอบสวนเพิ่มเติม พบว่ามีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม ก็จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม รอง โฆษก ตร. กล่าวว่า คดีดังกล่าวในชั้นนี้ยังไม่มีการเเจ้งข้อหากับผู้หนึ่งผู้ใด ซึ่งพนักงานสอบสวนยังคงรอผลการตรวจพิสูจน์ที่เกี่ยวข้อง ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่จะเร่งคลี่คลายข้อสงสัยให้สิ้นกระแสความในทุกประเด็นตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย โดยอาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และพยานที่เชื่อมโยงทางคดีเป็นสำคัญ