- 27 ก.ย. 2563
จากกรณีเหตุเกิดภายในโรงเรียนย่านราชพฤกษ์ ขณะที่เด็กอนุบาลกำลังนั่งเรียนกัน คุณครูกลับทำร้ายร่างกายเด็ก โดยมีทั้งผลักจนหน้าขมำ ตบหลัง และจิกหัวให้เดินไปหาคุณครูอีกคน ซึ่งมีผู้ใหญ่อยู่ภายในห้องอีก 3 คน แต่ทั้งหมดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กๆ ผู้ถูกกระทำรู้สึกหวาดกลัวและบอกกับผู้ปกครองว่าไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว จนเรื่องเกิดแดงขึ้นมามีคลิปการใช้ความรุนแรงออกมาจนเป็นข่าวในที่สุด
จากกรณีเหตุเกิดภายในโรงเรียนย่านราชพฤกษ์ ขณะที่เด็กอนุบาลกำลังนั่งเรียนกัน คุณครูกลับทำร้ายร่างกายเด็ก โดยมีทั้งผลักจนหน้าขมำ ตบหลัง และจิกหัวให้เดินไปหาคุณครูอีกคน ซึ่งมีผู้ใหญ่อยู่ภายในห้องอีก 3 คน แต่ทั้งหมดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กๆ ผู้ถูกกระทำรู้สึกหวาดกลัวและบอกกับผู้ปกครองว่าไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว จนเรื่องเกิดแดงขึ้นมามีคลิปการใช้ความรุนแรงออกมาจนเป็นข่าวในที่สุด
ต่อมา ทางโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ได้มีหนังสือถึง ศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี เพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า จากเหตุการณ์พฤติกรรมการลงโทษนักเรียนที่เกิดขึ้น ในวันพุธที่ 23 กันยายน 2563 โรงเรียนสารสาสวิเทศราชพฤกษ์ ขอแสดงความเสียใจต่อนักเรียนและผู้ปกครองอย่างสุดซึ้ง มา ณ โอกาสนี้และขอแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้เร่งติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง พบว่าเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 ได้มีผู้ปกครองเข้ามาร้องเรียนว่า บุตรหลานถูกคุณครูพี่เลี้ยง ได้แก่ นางสาวอรอุมา ปลอดโปร่ง ทำโทษเกินกว่าเหตุผู้ปกครองจึงขอเข้ามาตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 ทางโรงเรียนได้เปิดห้องประชุมเพื่อรับรองผู้ปกครองและให้ผู้ปกครองได้ดูภาพเหตุการณ์โดยผ่านจอโปรเจคเตอร์เหตุการณ์ดังกล่าวต่อหน้าโดยมิได้มีการปิดบังความจริงหรือดัดต่อเนื้อหาใดๆ อันซึ่งจะทำให้เกิดความบิดเบือน ปรากฎว่า ภาพครูพี่เลี้ยงได้ลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุจริง ทางโรงเรียนจึงได้ติดตามนางสาวอรอุมา ปลอดโปร่ง มาชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น นางสาวอรอุมา ปลอดโปร่ง ได้ยอมรับว่ากระทำการและใช้วาจาไม่เหมาะสมต่อนักเรียน เป็นเหตุให้นักเรียนได้รับความเสียหายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ จึงให้พ้นสภาพของการเป็นบุคลากรของโรงเรียนทันที และจะลงโทษทางวินัยต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นลำดับต่อไป
ล่าสุด ครูจุ๋ม ได้เปิดใจด้วยสีหน้าเศร้า กล่าวยอมรับว่าได้กระทำความรุนแรงทำร้ายร่างกายเด็กจริง เนื่องจาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องแม่ป่วยเบาหวาน ความดัน และโรคไต อีกทั้งต้องดูแลเด็ก 32 คนถือว่ามีจำนวนเยอะ ประกอบกับเด็กนักเรียนไม่ฟัง และทำงานไม่ทัน เนื่องจากการเรียนการสอนของเด็กอนุบาลต้องใช้สมุดงานเขียนเยอะ
ขณะเดียวกัน ตนทำรุนแรงกับเด็ก รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ทุกครั้งที่กระทำจะไม่รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก ตนยอมรับผิดที่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่สิ่งที่กระทำลงไปเกิดจากความเครียดสะสม ไม่สามารถพูดคุยระบายความในใจกับใครได้ ตนไม่เคยมีพฤติกรรมที่ต้องการใช้ความรุนแรง ส่วนประเด็นที่ถูกผู้ปกครองอ้างว่ามีเด็กอ้วกแล้วตนโกยอ้วกให้เด็กทานเข้าไปอีกครั้งนั้น ไม่ใช่ความจริง ยืนยันว่าตนไม่เคยทำ
หลังจากเกิดเรื่องตนได้ถูกไล่ออกจากทางโรงเรียนแล้ว ถือว่าโรงเรียนทำถูกต้องแล้ว และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นขอให้เป็นความผิดของตนเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับโรงเรียน ส่วนเรื่องจะรับผิดชอบต่อครอบครัวของเด็กอย่างไรนั้น ให้ผู้ปกครองดำเนินคดีตนตามกฎหมายได้เลย เพราะตนผิดจริง ทั้งนี้ ตนได้เข้าไปขอโทษกับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนแล้ว ถึงแม้ว่ากลุ่มผู้ปกครองจะบอกว่าตนไม่ขอโทษจากใจจริง ตนก็ไม่ถือโทษโกรธ และขอย้ำว่า ตนขอโทษด้วยใจจริง ขณะนี้ตนอยากได้คำว่าให้อภัยจากปากของกลุ่มผู้ปกครอง แต่เข้าใจว่าคงจะไม่ได้รับ
"กระแสสังคมที่เข้ามานั้นราวกับไม่อยากให้ตนมีพื้นที่ยืนในสังคม ตนขอไม่อยู่ก็ได้ สิ่งที่ทำไปตนเลวร้ายมากเกินไปหรือ สภาพจิตใจตนย่ำแย่ ทุกอย่างโหมเข้ามาจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว กระแสสังคมที่เข้ามานั้นราวกับไม่อยากให้ตนมีพื้นที่ยืนในสังคม ตนขอไม่อยู่ก็ได้
เช้าที่ผ่านมาได้คุยกับแม่ว่าหากไม่มีตน แม่จะอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งแม่ก็บอกว่าอยู่ไม่ได้ ทำให้ตนเสียใจ ถึงแม้ครอบครัวและเพื่อนจะให้กำลังใจ แต่ตนหาทางออกไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นหากย้อนกับไปได้ตนไม่อยากให้เกิดขึ้น ถือว่าเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ต่อไปนี้ยังไม่ได้วางแผนชีวิตว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด แต่คงไม่ทำอาชีพครูแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนขอโทษสังคม ขอโทษทุกคนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น"
นอกจากนี้ ตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา ตนยังไม่ได้ทานข้าวทานน้ำ บางเวลาร้องไห้ และยอมรับว่าไม่ได้จบครูจริง จบเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ก่อนหน้าที่จะเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ทำงานร้านสะดวกซื้อมาก่อน มีคนแนะนำให้ไปสมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งพี่เลี้ยงเด็กไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรี
ขอบคุณข้อมูล อมรินทร์ทีวี