"นิพิฏฐ์" ชี้คดี "ลุงวิศวกรยิงเด็กม.4 ดับ" ต้องดูก่อนเกิดเหตุ-ปืนอยู่ที่ไหน พร้อมยก 3 เหตุผลให้ความเป็นธรรม 2 ฝ่าย

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ ( 9 ก.พ.)   นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ข้อความลงบนโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีวิศวกร กับ ม.4 โดยใช้หัวข้อ "ความเป็นธรรม 2 ฝ่าย" ระบุว่า  เวลาเราพูดถึงความยุติธรรม สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ความยุติธรรม 2 ฝ่าย พฤติกรรมของวัยรุ่นไม่เหมาะสมแน่นอน หากเห็นเพียงภาพที่ปรากฏ แม้ตนก็อาจจะตัดสินใจเหมือนวิศวกร (ขอย้ำนะครับถ้าเห็นเพียงภาพที่นำมาเผยแพร่ผมก็คงตัดสินใจแบบนั้น)  แต่เรื่องนี้ก่อนที่เราจะให้ความยุติธรรมฝ่ายใด เราต้องมีเท็จจริงบางข้อเพิ่มเติม นั่นคือ 1. ข้อเท็จจริงก่อนเกิดเหตุ น่าจะเปิดเผยภาพตอนแรก ตั้งแต่การขับรถปาดหน้ากันไป-มาแล้วท้าทาย ต้นเรื่องคงไม่ใช่จอดรถแล้วลงมาทะเลาะกัน หากขับรถปาดกัน แล้วมีการท้าทายกัน ความชอบธรรมในการป้องกันก็ลดน้อยลง หรืออาจหมดไปเลย หลักการป้องกันตัวนั้น ผู้กระทำต้องไม่มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำผิด หรือ สมัครใจเข้าวิวาท เพราะหากผู้กระทำมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำผิด หรือ สมัครใจเข้าวิวาท หลักเรื่องการป้องกันตัวจะหมดไปทันที  2. ต้องดูข้อเท็จจริงว่า ก่อนยิง ปืนอยู่ตรงไหน ข้อนี้ก็สำคัญมาก เพราะถ้าปืนอยู่บนตัก รับรองคดีพลิกแน่ หรือถ้าปืนอยู่ที่เอวก็มีปัญหาว่าพกแบบนั้นไปเดินตลาดหรือ หรือถ้าปืนอยู่ในเก๊ะหน้ารถ แล้วหยิบมายิง ก็จะมีปัญหากับเสียงของภรรยาที่พูดว่า พี่ยิงหรือ (ไม่ขอลงรายละเอียด) ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายต้องเตรียมไปสู้คดีกัน เพราะเปิดมาก็เสียหายต่อรูปคดีแน่นอน
          

นายนิพิฏฐ์ระบุอีกว่า  3. การป้องกันที่ชอบด้วยกฎหมาย เหมือนกับการอนุญาตให้เราฆ่าผู้อื่นได้โดยไม่มีความผิด นักกฎหมายจึงท่องคำพิพากษาศาลฎีกากันจนขึ้นใจว่า ข้อเท็จจริงแบบไหนป้องกันโดยชอบ แบบไหนป้องกันเกินกว่าเหตุ แต่อย่าลืมว่า ชีวิตมนุษย์เขาไม่นำมาเป็นเครื่องทดลองกฎหมาย อย่าจินตนาการเองว่า ยิงได้ หรือ ยิงไม่ได้ เว้นแต่เรารู้หลักกฎหมายว่าด้วยการป้องกันเสียก่อน กรณีนี้สอนเราว่า อย่าใจร้อนในการขับรถปาดหน้ากันไป-มา ขับรถปิดทางกัน ไม่ยอมให้กัน มักลงเอยแบบนี้ ต้องแลกด้วยชีวิตแลกด้วยอิสรภาพ เราจึงต้องแก้ที่เหตุ หลายคนแสดงความเห็นกันแบบสะใจว่า 

"ถ้าเป็นเรา รับรองยิงหมดแม็ค" พูดแบบนั้นอาจสนุก แต่หลังจาก "หมดแม็ค" แล้วรับรอง "หมดตัว" แน่นอนเผลอๆ ได้เข้าไปพักผ่อนในคุกสัก 2-3 ปี อย่าสนุกกับการขึ้นโรงขึ้นศาล และไม่เคยเห็นใครสนุกกับการขึ้นโรงขึ้นศาลเลย เว้นแต่ทนายความอย่างพวกตน" ”นายนิพิฏฐ์ ระบุ


วิทย์ณเมธา  สำนักข่าวทีนิวส์