- 23 ก.ค. 2563
สืบเนื่องจากกรณีที่ หญิงสาวรายหนึ่ง ขับรถเก๋งสีดำมาบริเวณถนนราชดำริ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โบกให้จอด เนื่องจากเธอ จอดในที่ห้ามจอด แต่เธอไม่ยอมลง แถมยังเอาขวดน้ำฟาดตำรวจ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทั้งโลกออนไลน์ ซึ่ง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏภาพคลิปหญิงคนหนึ่งมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ลุมพินี ขณะอยู่บนรถของตนเอง และมีการใช้ขวดน้ำฟาดไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นที่สนใจขอประชาชนโดยทั่วไป นั้น เรื่องเริ่มจากมีรถยนต์จอดกีดขวางบริเวณถนนด้านหน้าทางเข้าที่จอดรถสวนลุมพินี (ประตู 5) ถนนราชดำริ ทำให้การจราจรติดขัด ท้ายแถวสะสม รถโดยสารประจำทางไม่สามารถเข้าจอดที่ป้ายได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ลุมพินีจึงได้เข้าตรวจสอบ
สืบเนื่องจากกรณีที่ หญิงสาวรายหนึ่ง ขับรถเก๋งสีดำมาบริเวณถนนราชดำริ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โบกให้จอด เนื่องจากเธอ จอดในที่ห้ามจอด แต่เธอไม่ยอมลง แถมยังเอาขวดน้ำฟาดตำรวจ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทั้งโลกออนไลน์ ซึ่ง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏภาพคลิปหญิงคนหนึ่งมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ลุมพินี ขณะอยู่บนรถของตนเอง และมีการใช้ขวดน้ำฟาดไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นที่สนใจขอประชาชนโดยทั่วไป นั้น เรื่องเริ่มจากมีรถยนต์จอดกีดขวางบริเวณถนนด้านหน้าทางเข้าที่จอดรถสวนลุมพินี (ประตู 5) ถนนราชดำริ ทำให้การจราจรติดขัด ท้ายแถวสะสม รถโดยสารประจำทางไม่สามารถเข้าจอดที่ป้ายได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ลุมพินีจึงได้เข้าตรวจสอบ
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะสี่ประตูจอดกีดขวางบริเวณทางเข้าที่จอดรถ ช่องทางที่ 1 ติดทางเท้าจึงได้สั่งให้ผู้ขับขี่เคลื่อนย้ายรถ แต่อีกฝ่ายไม่ยินยอมพร้อมกับโวยวายส่งเสียงดัง จึงใช้เครื่องบังคับล้อที่ล้อหน้าฝั่งคนขับและออกใบสั่งและให้ผู้ขับขี่ลงจากรถและแสดงใบอนุญาตขับขี่แต่ผู้ขับขี่ไม่ยินยอม ได้ใช้ขวดน้ำพลาสติกตีไปที่เจ้าหน้าที่หลายครั้งและได้ใช้เท้าถีบ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้เข้าไปห้ามปรามอีกราย
ล่าสุดศาลแขวงปทุมวัน ได้พิพากษาที่หญิงคนดังกล่าวเป็นจำเลย ฐานความผิดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย
โดย พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี ศาลแขวง 6 ได้ยื่นฟ้อง น.ส.โชติมา เนตรขันธ์ อายุ 37 ปี เป็นจำเลยต่อศาลแขวงปทุมวัน ในความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย
อัยการโจทก์ฟ้องโดยวาจาว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา น.ส.โชติมา จำเลยได้จอดรถยนต์กระบะ ทะเบียน กง 7246 ชัยภูมิ กีดขวางการจราจรอยู่บริเวณทางเข้าที่จอดรถสวนลุมพินี (ประตู 5) ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน เป็นเหตุให้การจราจรติดขัด หลังได้รับแจ้ง ด.ต.สราวุธ รวบรวมวงศ์ และ ร.ต.อ.จักรพงศ์ พิทักษ์กรสกุล ตำรวจประจำ สน.ลุมพินี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจราจรจึงไปยังที่เกิดเหตุและได้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.จราจร พ.ศ. 2522 มาตรา 59 สั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเคลื่อนย้ายรถยนต์ที่จอดกีดขวางออกจากบริเวณดังกล่าว ซึ่งจำเลยได้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่เคลื่อนย้าย
อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ภายหลังจำเลยไม่ยินยอมลงจากรถยนต์และแสดงใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ยังต่อสู้ขัดขวางโดยใช้ขวดน้ำตีไปที่ใบหน้าของ ด.ต.สราวุธ หลายครั้ง จากนั้นจำเลยได้ลงจากรถยนต์ใช้เท้าถีบเข้าที่ลำตัวของ ร.ต.อ.จักรพงศ์ 1 ครั้ง จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 138, 368 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาขอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558 มาตรา 6 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2560 มาตรา 5 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ข้อ 4 โดยในชั้นสอบสวน จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138 ,368 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ จำคุก 1 เดือนและปรับ 2,000 บาท ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรปรับ 500 บาท
รวมสองกระทงเป็นจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,500 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 15 วันและ ปรับ 1,250 บาท ซึ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา 29,30