- 02 ต.ค. 2563
จากกรณี ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี สูญหายจากบ้านพักพัก หมู่ 2 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ซึ่งครอบครัวเร่งออกค้นหาจนมึดค่ำ จนกระทั่งพบศพน้องอยู่กลางป่าในภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านราว 5 กม. ซึ่งผลชันสูตรยืนยันว่าไม่มีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย
จากกรณี ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี สูญหายจากบ้านพักพัก หมู่ 2 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ซึ่งครอบครัวเร่งออกค้นหาจนมึดค่ำ จนกระทั่งพบศพน้องอยู่กลางป่าในภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านราว 5 กม. ซึ่งผลชันสูตรยืนยันว่าไม่มีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย
ต่อมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ จะอธิบายถึงบทสรุปทางคดี ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ และจะมีการแจกคลิปวีดีโอพรีเซนเทชั่นเล่าถึงเชื่อมโยงต่างๆ ส่วนเรื่องพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีความคืบหน้าไปประมาณ 99% อีก 1 % คือ ยังเหลือผลตรวจเส้นผมที่หล่นอยู่ใกล้กับจุดที่พบศพน้องชมพู่ ซึ่งส่งไปตรวจที่สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ เพื่อตรวจหาเจ้าของเส้นผมดังกล่าว
อ่านข่าว - บิ๊กปั๊ด ประเดิมงานผบ.ตร.ใหม่ นัดแถลงสรุปคดีน้องชมพู่ แง้มได้หลักฐานสำคัญ ครบสำนวน 100 %
ล่าสุด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานแถลงความคืบหน้า คดีการหายตัวไปของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี จากบ้านพักพัก หมู่ 2 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นว่าการชี้แจงในวันนี้ ( 2 ต.ค.) ไม่ใช่การสรุปปิดคดี แต่เป็นขั้นตอนการชี้แจงความคืบหน้า เนื่องจากมีข้อมูลสำคัญที่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
โดยทีมสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจภูธภาค 4 สรุปว่า ขณะนี้สำนวนคดีมีความหนาทั้งสิ้น 918 หน้า ยืนยันว่าน้องชมพู่ไม่อาจเดินขึ้นไปบนภูเขาเหล็กไฟได้เอง เนื่องจากเส้นทางที่ไปสู่จุดพบศพมีความยากลำบากในการที่เด็กวัยเพียง 3 ขวบจะเข้าไปถึงจุดพบศพ รวมถึงอาหารเช้าที่รับประทานในช่วงเช้าวันเกิดเหตุ ก็ไม่เพียงพอต่อการสร้างกำลังให้ปีนป่ายผาสูงชันได้อีกเช่นกัน รวมถึงเป็นไปไม่ได้เป็นเหตุที่เกิดขึ้นจากน้องชมพูจะพลัดหลงทาง เนื่องจากพฤติกรรมส่วนตัวของน้องชมพู่ ไม่ชอบที่สูงและป่ารก จึงสรุปได้ว่าเหตุเสียชีวิตของน้องชมพู่ เกิดจากมีผู้นำขึ้นไปไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดและเหตุผลใดก็ตาม
ดังนั้นผู้นำน้องชมพู่จะได้รับข้อหาเกี่ยวข้องฐานความผิดกักขัง หน่วงเหนี่ยว จนทำให้มีผู้เสียชีวิต แต่ประเด็นปัญหาคือ ณ ขณะนี้พนักงานสอบสวน ยังไม่สามารถหรือสรุปดำเนินการสอบสวนหาผู้กระทำผิดได้ แต่เนื่องจากกฎหมายคดีอาญามีอายุความ 20 ปี การดำเนินการสอบสวนหาคนร้ายจึงจะยังดำเนินการต่อไป พร้อมยืนยันจะยังไม่ละเลิกความพยายามในการติดตามคนร้ายรายนี้
ขณะที่ผลชันสูตรพลิกศพ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเห็นตรงกันว่า น้องชมพู่เสียชีวิตในช่วงระหว่างวันที่ 12 -13 พ.ค 2563 หรือประมาณ 24 ชั่วโมงหลังการหายตัวไป โดยตามร่างกายพบบาดแผลหลายจุด แต่ไม่มีร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ภายในร่างกายไม่มีอาหารตกค้างเหลืออยู่ จึงอาจถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต และประมวลพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า มีความพยายามของบุคคลในการนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งไว้อยู่ลำพังบนภูเขาเหล็กไฟ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งว่าเป็นคนสนิทที่น้องชมพู่ไว้ใจ จึงไม่มีปฏิกริยาต่อต้าน หรือ คนที่ใช้วิธีการบังคับ ขู่เข็ญ และมีความคุ้นเคยต่อสถานที่ที่มีความยากลำบากต่อการเข้าถึง จึงสามารถนำพาน้องชมพู่ขึ้นไปในจุดเกิดขึ้นเหตุได้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ยอมรับว่า จนถึงตอนนี้ในใจยังคงมีข้อสงสัยในตัวบุคคล เพียงแต่ไม่อาจบ่งชี้ชัดได้ในวันนี้ว่า ใครคือคือฆาตกร ด้วยหลายองค์ประกอบของแนวทางการสืบสวน สอบสวน ซึ่งที่ผ่านมามีหลายมิติที่ทำให้แนวทางการการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองมีความยากลำบาก และกดดันในการที่จะนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจะดำเนินการหาข้อเท็จจริงในการคลี่คลายคดีนี้ต่อไป ด้วยรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทันทีที่มีหลักฐานเชื่อมโยง ผูกมัดใคร ก็จะมีการจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีทันที จึงขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเราจะไม่มีวันทิ้งให้การหายตัวไปของน้องชมพู่จบลงเพียงเท่านี้ แต่เราจะทำทุกวิธีทางในการคืนความชอบธรรมให้กับสูญเสียอย่างแน่นอน
ในช่วงท้าย พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวถึง ความพยายามในการทำลายหลักฐาน ว่าเป็นเรื่องเกิดจริง แต่ด้วยสาเหตุที่ไม่อาจชี้ชัดว่าใครเป็นผู้กระทำ ด้วยประจักษ์พยาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยังไม่มีการกล่าวหาใคร หรือ ตั้งข้อหาใครเป็นผู้กระทำผิด และจะไม่มีการพูดถึงชื่อใครด้วย พร้อมกันนี้ยังปฏิเสธจะตอบความเชื่อมโยง หรือข้อสงสัยในตัวลุงพล ตลอดจนข้อคำถามว่าผู้กระทำเป็นการลงมือโดยตัวคนเดียว หรือ เป็นกระบวนการ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่เอารูปแบบการทำงาน ว่ามีหลักฐานแค่พอจับใคร แต่เราต้องการนำสืบคดีนี้ไปจนถึงการเอาตัวคนร้ายมาลงโทษในชั้นศาลยุติธรรมให้ได้