- 05 ต.ค. 2563
จากกรณีที่มีคลิปเหตุการณ์ครูอนุบาลโรงเรียนแห่งหนึ่ง ทำร้ายร่างกายนักเรียนจนตัวปลิวลงพื้น เดือนซ้ำรุมตี ถีบ โดยที่ไม่สนครูคนอื่นห้าม จนสุดท้ายผู้ปกครองมาเอาเรื่อง กระทั่ง ครูจุ๋ม อรอุมา ปลอดโปร่ง ได้เปิดใจด้วยสีหน้าเศร้า กล่าวยอมรับว่าได้กระทำความรุนแรงทำร้ายร่างกายเด็กจริง เนื่องจาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องแม่ป่วยเบาหวาน ความดัน และโรคไต อีกทั้งต้องดูแลเด็ก 32 คนถือว่ามีจำนวนเยอะ ประกอบกับเด็กนักเรียนไม่ฟัง และทำงานไม่ทัน เนื่องจากการเรียนการสอนของเด็กอนุบาลต้องใช้สมุดงานเขียนเยอะ
จากกรณีที่มีคลิปเหตุการณ์ครูอนุบาลโรงเรียนแห่งหนึ่ง ทำร้ายร่างกายนักเรียนจนตัวปลิวลงพื้น เดือนซ้ำรุมตี ถีบ โดยที่ไม่สนครูคนอื่นห้าม จนสุดท้ายผู้ปกครองมาเอาเรื่อง กระทั่ง ครูจุ๋ม อรอุมา ปลอดโปร่ง ได้เปิดใจด้วยสีหน้าเศร้า กล่าวยอมรับว่าได้กระทำความรุนแรงทำร้ายร่างกายเด็กจริง เนื่องจาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องแม่ป่วยเบาหวาน ความดัน และโรคไต อีกทั้งต้องดูแลเด็ก 32 คนถือว่ามีจำนวนเยอะ ประกอบกับเด็กนักเรียนไม่ฟัง และทำงานไม่ทัน เนื่องจากการเรียนการสอนของเด็กอนุบาลต้องใช้สมุดงานเขียนเยอะ
กระทั่งต่อมา นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้เดินทางมาพร้อมกับ น.ส.อรอุมา หรือ ครูจุ๋ม เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายชาญวิทย์ (สงวนนามสกุล) และภรรยา ที่เป็นผู้ปกครองของ ด.ช.เอ (นามสมมมติ) ที่สภ.ชัยพฤกษ์ จากกรณีที่ทั้งสองทำร้ายร่างกาย ครูจุ๋ม เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะเข้าประชุมผู้ปกครองโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ เนื่องจากเห็นภาพในกล้องวงจรปิดที่ลูกชายตัวเองโดนทำร้าย แล้วระงับโทสะไว้ไม่อยู่
เรื่องดังกล่าวทำให้ทนายเดชางานเข้าอย่างจังจนต้องออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีการโพสต์ข้อความระบุว่า "กราบเรียน FC ทนายคลายทุกข์ ผม ประกอบวิชาชีพทนายความ มา 35 ปีไม่เคยทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรมขอให้มั่นใจได้ ขอบคุณครับ"
หลังจากนั้นไม่นาน ทนายเดชาก็ได้ไลฟ์สดชี้แจงกรณีรับทำคดีครูจุ๋ม พร้อมทั้งเป็นตัวแทนของโรงเรียนว่า "ผมได้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับโรงเรียนผมก็ใช้วิชาชีพทางกฎหมายตามปกติ ใครก็แล้วแต่ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญาก็ต้องมีทนายความ เท่าที่คุยกับทางพนักงานสอบสวนคดีครูจุ๋มทำร้ายร่างกายเด็กนั้น มีครูประมาณ 13 คน ที่ต้องถูกดำเนินคดี เขาได้เชิญผมไปเป็นทนาย ผมก็รับดำเนินการ ไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นคดีฆ่าคนตายคดีอะไรก็แล้วแต่ก็ต้องมีทนายความ มันก็เป็นเรื่องปกติครับใช้วิชาชีพ ใครจะพอใจไม่พอใจ ก็เป็นความคิดส่วนตัวของท่าน"
ทั้งนี้ ทนายเดชา ยังได้ชี้แจงอีกว่า "ผมเป็นที่ปรึกษาโรงเรียนสารสาสน์ ส่วนพี่เลี้ยง ที่ถูกดำเนินคดี ผมเข้าไปช่วยเหลือเรื่องคดี ในฐานะส่วนตัว แยกกันคนละส่วน" แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวดังกล่าวจะยิ่งแย่ลงเนื่องจากชาวเน็ตและแฟนคลับยังคงเข้ามาคอมเม้นต์ในเชิงลบกันอย่างเนื่อง
โดยส่วนใหญ่เข้ามาคอมเม้นต์ว่า ขอเลิกติดตามนะครับ สำหรับผมจรรยาบรรณและคุณธรรมต้องมาก่อน ลาก่อนครับ ทนายสายครู บ้างก็เข้ามาคอมเม้นต์ว่า ในฐานะที่ทำงานฝ่ายกฎหมายด้วยกัน ว่าความให้ใครก็ได้ แต่ ว่าความให้คนแบบนี้ ไม่เอาดีกว่า..ท่านไม่มีจิตใจนึกคิดซักนิดเลย เลิกติดตาม พอจบ บ้างก็เข้ามาคอมเม้นต์ว่า 35 ปีหมดความหมายในปีที่ 36 (55555555) บ้างก็เข้ามาคอมเม้นต์ว่าแต่ก่อนเคยชื่นชอบ ตอนนี้ผิดหวังในตัวคุณมากค่ะ คุณทนาย
บ้างก็เข้ามาคอมเม้นต์ว่า ความคิดส่วนตัวนะ #ผมว่าอาจารย์ไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีชั่วๆ ที่ครูทำร้ายเด็กที่ไม่ทีทางสู้แบบนี้เลย มันทำลายความรู้สึกเอฟซีที่ติดตามสิ่งดีๆ ที่อาจารย์เคยพูดเคยแนะนำ เพราะถ้าอาจารย์เข้าไปช่วย ครูก็จะได้ใจว่ามีทนายดังระดับประเทศเข้าไปช่วย ครูไปสอนที่อื่นครูก็จะทำความผิดแบบนี้อีกไม่รู้สำนึกชั่วดี ครูแบบนี้เป็นภัยต่อเด็กต่อเยาวชนของประเทศไม่ต่างอะไรกับคดียาเสพติด ด้วยความเคารพครับ