- 06 ต.ค. 2563
จากกรณีที่อดีตผู้เข้าประกวดสาวงาม โมนา กฤษณา สุวรรณพิทักษ์ เคยทำร้ายร่างกาย น.ส.จริยา ศรีศักดิ์ อดีตสาวใช้ อายุ 16 ปี จนเสียชีวิตและมีการอำพรางซ่อนเร้นศพไว้โดยการนำไปฝังดินในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากเกรงกลัวความผิด และศาลอนุญาตให้มีการประกันตัวได้ แต่ห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากศาล ซึ่งเหตุเกิดเมื่อช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา
จากกรณีที่อดีตผู้เข้าประกวดสาวงาม โมนา กฤษณา สุวรรณพิทักษ์ เคยทำร้ายร่างกาย น.ส.จริยา ศรีศักดิ์ อดีตสาวใช้ อายุ 16 ปี จนเสียชีวิตและมีการอำพรางซ่อนเร้นศพไว้โดยการนำไปฝังดินในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากเกรงกลัวความผิด และศาลอนุญาตให้มีการประกันตัวได้ แต่ห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากศาล ซึ่งเหตุเกิดเมื่อช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา
ในเวลาต่อมา ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ มีพยานปากสำคัญคือบุตรสาวแท้ๆ ของจำเลยที่ 1 ที่รู้เห็นเหตุการณ์ ที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย ก่อนจะนำศพไปฝังที่ จ.เพชรบุรี ศาลเห็นว่า พยานเป็นบุตรสาวของจำเลยแม้จะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่หากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง บุตรสาวของจำเลย คงไม่กล้ากล่าวหามารดาตนเองในเรื่องที่ร้ายแรง
เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ นำสืบ ลงรอยกันสนิท จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง สั่ง ลงโทษจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และให้ชดใช้ค่าสินไหม ให้มารดาของผู้ตายเป็นเงิน กว่า 1.06 ล้านบาท จำเลยที่ 2 สั่งจำคุก 1 ปี 4 เดือน และ จำเลยที่ 3 สั่งจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ล่าสุดที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นางสาว กฤษณา หรือ โมนา สุวรรณพิทักษ์ อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม จังหวัดเพชรบุรี จำเลยในคดีฆ่าฝังดิน น้องน้ำ สาวใช้ มายังศาลอาญา เพื่องฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.3966/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.กฤษณา หรือ โมนา สุวรรณพิทักษ์ อายุ 47 ปี อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม จ.เพชรบุรี, น.ส.ปรารถนา หรือ เม้า ท้วมทรัพย์ อายุ 35 ปี เพื่อนสนิทรุ่นน้อง และนายปราโมทย์ สุวรรณพิทักษ์ อายุ 47 ปี พี่ชายและเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นฯ ร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,184 ส่วนนางสาว ปรารถนา หรือ “เม้า” และนายปราโมทย์ ก็เดินทางมาฟังศาลอ่านคำพิพากษาเช่นกัน หลังได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ที่ ห้องพิจารณา 703 โดยคดีนี้มารดาผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยเป็นเงิน 1,465,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีด้วย
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องสรุปความผิดได้ว่า เมื่อช่วงเดือน ก.พ.- มี.ค.2555 น.ส.จริยา หรือน้องน้ำ อายุ 15 ปีเศษ ได้มาทำงานเป็นสาวรับใช้ ให้กับ น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 ที่บ้านพัก หมู่บ้านกลางกรุงรัชวิภา แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม. โดยช่วงต้นเดือน เม.ย. - วันที่ 12 เม.ย.2555 จำเลยที่ 1 ได้ใช้กระป๋องสเปรย์ ยาวประมาณ 1 ฟุต ทุบตีที่ศีรษะ น.ส.จริยา หลายครั้งซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญได้รับแรงกระแทก และยังใช้ท่อต่อพลาสติก เครื่องดูดฝุ่นทุบตีบริเวณต้นขา และใช้ที่หนีบผมขณะที่ยังมีความร้อนจี้ตามลำตัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ความตาย จากนั้นวันที่ 15 เม.ย.2555 จำเลยที่ 2-3 ร่วมกัน เคลื่อนย้ายศพใส่ท้ายรถกระบะเดินทางไปที่ ต.หนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี ขุดหลุมฝังศพผู้ตายที่ใต้ต้นตาลข้างบ้านพักจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1-2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2562 ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและชดใช้ค่าเสียหายให้มารดาผู้ตาย ที่ต้องขาดไร้อุปการะจากบุตรสาวที่เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพ เป็นเงินทั้งสิ้น 1,065,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีที่ผิดนัดชำระ นับตั้งแต่วันที่มารดาผู้ตายยื่นคำร้องให้ชดใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. 2555 เป็นต้นไป ส่วนจำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ให้จำคุกคนละ 2 ปี คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 1 ปี 4 เดือน สำหรับจำเลยที่ 3 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
ต่อมาอัยการโจทก์และจำเลยที่ 1-2 ยื่นอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ไม่ยื่น วันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว น.ส.กฤษณา หรือโมนา จำเลยที่ 1 จากทัณฑสถานหญิงกลางมาศาล ส่วน น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 เดินทางมาศาล
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยที่ 1-2 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1 มีอารมณ์ร้าย เคยมีชาวพม่ามาทำงานรับใช้แล้วถูกทำร้าย 2 คน ก่อนออกไป โดยเห็นจำเลยที่ 1 ใช้กระป๋องสเปรย์ตีผู้ตาย ภายหลังได้เรียกให้พยานดูผู้ตายเสียชีวิตในครัว พบร่างกายมีรอยไหม้ พยานเห็นจำเลยทั้งสามนำศพผู้ตายไปฝัง และมีพยานอีกรายเห็นจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย เมื่อมีการนำศพไปขอให้วัดเผาศพ วัดไม่เผาให้เนื่องจากไม่มีใบมรณบัตร ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความเชื่อมโยงกันเป็นขั้นตอนเกี่ยวกับการทำร้ายผู้ตาย การขอเผาศพ และฝังศพสอดคล้องกัน ไม่มีเหตุโกรธเคืองปรักปรำจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง
ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างไม่ได้ทำร้ายผู้ตาย แต่ผู้ตายหนีหายไปนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การนี้ในชั้นสอบสวน โดยให้การว่าผู้ตายเสียชีวิตที่กรุงเทพฯ และจำเลยที่ 1-2 ให้การซัดทอดกันไปมาว่าอีกฝ่ายทำร้าย จึงเป็นการอ้างเลื่อนลอย ไม่หักล้างพยานหลักฐานโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสามนำศพไปฝัง จากการตรวจกระดูกผู้ตาย พบกระดูกกรามหลุด แตกหักก่อนตาย จากการถูกตีศีรษะรุนแรง และไม่นำส่งโรงพยาบาล จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นถึงแก่ความตาย มีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา จำเลยที่ 2 ผู้ฝังศพ ย่อมมีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่เห็นว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 หนักเกินไป จึงแก้ไขให้เหมาะสม
สำหรับประเด็นอุทธรณ์เห็นสมควรลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโทษจำเลยที่ 2-3 เหมาะสมแล้ว การปกปิดการตายช่วยจำเลยที่ 1 ให้ไม่รับโทษ ทำให้มารดาผู้ตายทุกข์ทรมาน ถึงแม้จำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ก็ไม่มีเหตุรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก น.ส.กฤษณา หรือโมนา จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี ส่วน น.ส.ปรารถนา และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 2-3 โทษเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น (จำคุก 1 ปี 4 เดือน และ 1 ปี)