- 04 เม.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
นอกเหนือจากปัญหาความขัดแย้งที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ ว่าด้วยการเดินหน้านโยบายการแยกทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์โครงข่ายหลัก เพื่อดำเนินการจัดตั้งเป็นบริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด หรือ NBN Co.และ บริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตจำกัด หรือ NGDC Co. ซึ่งทั้งบมจ.ทีโอทีและบมจ. กสท โทรคมนาคม กำลังเดินหน้าคัดค้านเต็มรูปแบบ ถึงขั้นล่าสุดสหภาพบมจ.ทีโอที ตัดสินใจดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะรัฐมนตรี ร่วมกันกระทำการโอนทรัพย์สินอุปกรณ์โครงข่ายบรอดแบนด์ของ บมจ.ทีโอที ไปให้บริษัท NBN เป็นการดำเนินการโดยไม่มีอำนาจและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (ตามคลิปสัมภาษณ์พิเศษ นายพงศ์ฐิติ พงศ์ศิลามณี ประธานสหภาพบมจ.ทีโอที)
พงศ์ฐิติ พงศ์ศิลามณี
อีกหนึ่งประเด็นปัญหาที่กำลังรุมเร้า บมจ.ทีโอที ภายใต้การบริหารของ นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ก็คือการบริหารโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ หมู่บ้านในพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) กลุ่มที่ 1 (ภาคเหนือ1) ส่วนที่ 2 การจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Service) ซึ่งทางบมจ.ทีโอทีได้รับว่าจ้างจาก กสทช.มาดำเนินการแล้ว ปรากฎว่าไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนด เหมือนกับผู้บริการรายอื่น ๆ ซึ่งสามารถส่งมอบงานเสร็จสิ้นในสัดส่วน 15% ตามเงื่อนไขการประมูล
โดยก่อนหน้านี้ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ให้ข้อมูลว่า สัญญาบริการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ หมู่บ้านพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) ส่วนที่ 1 การจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet Service) ตามสัญญาเลขที่ 0002/2560 และเลขที่ 0003/2560 จริง ๆ ครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่ 1 แล้ว แต่ทีโอทีไม่สามารถดำเนินงานและส่งมอบบริการได้ภายในกำหนด ซึ่งถ้ามีความล่าช้าทางกสทช.ก็จะมีการแจ้งปรับตามสัญญาข้อ 19 คือ การบังคับค่าปรับ หรือค่าเสียหาย
ทั้งนี้ตามสัญญาซึ่้งกำหนดผู้ให้บริการมีสิทธิที่จะหักเอาจากจำนวนเงินค่าบริการงวดใด ๆ หรือบังคับจากหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา หรือหลักเงินประกันล่วงหน้า นับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันที่ส่งมอบงานแต่ละงวด โดยเบื้องต้นมีข้อกำหนดว่าผู้ให้บริการจะต้องถูกปรับเป็นรายวันในอัตรา 0.20% ของมูลค่าบริการในแต่ละงวด นับตั้งแต่วันครบกำหนดส่งมอบ โดยคิดค่าปรับรวมสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต รวมทุกสัญญาคิดเป็นเงินราว 9 แสนบาทต่อวัน จากที่ยื่นหนังสือขอขยายเวลาออกไปอีก 80 วัน
ประเด็นสำคัญก็คือ หนังสือด่วนที่สุดของกสทช.ได้ระบุชัดเจนว่าการขอขยายเวลาการส่งมอบและแจ้งปรับตามสัญญา โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ในพื้นที่ชายขอบ ไม่เข้าองค์ประกอบของเหตุสุดวิสัยที่จะพิจารณาให้ขยายระยะเวลาส่งมอบได้ตามสัญญา และความเห็นของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ สำนักงานกสทช.จำเป็นต้องแจ้งปรับตามสัญญาข้อ 19 นับตั้งแต่วัดถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบ จนถึงวันที่ส่งมอบงานแล้วเสร็จต่อไป
สำหรับโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ จำนวน 3,920 หมู่บ้าน ถูกกำหนดให้ครอบคลุม 100% ในพื้นที่เป้าหมายทั้งหมดภายในเดือน ส.ค. 2561 ซึ่งจะทำให้มีจุดเชื่อมต่อบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะหมู่บ้านละ 1 จุด รวม 3,149 จุดทั่วประเทศ และศูนย์ USO Net ภายในโรงเรียน จำนวน 763 แห่ง เป็นแหล่งการเรียนรู้ของโรงเรียน และชุมชน พร้อมผู้ดูแลประจำศูนย์ และให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไม่ต่ำกว่า 30 Mbps ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ฟรี 5 ปี ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์กว่า 775,027 ครัวเรือน