- 02 ธ.ค. 2562
โมสต์ วิศรุต เปิดอก เป็นนักแสดงโนเนมตะกายดาว 6 ปีกว่าจะดัง เคยตกอับ 3 เดือนหาเงินได้ 9,000 กินของใกล้หมดอายุ สารภาพต้องเกาะแม่กิน ถูกครอบครัวกดดันหนักเป็นนักแสดงจะเอาอะไรกิน จนตัดสินใจจะไปตั้งหลักใช้ชีวิตที่อเมริกา จากนี้ไปขอทำทุกโอกาสเข้ามาให้ดีที่สุด เผยเรื่องหัวใจมีแฟนแล้ว
โมสต์ วิศรุต เปิดอก เป็นนักแสดงโนเนมตะกายดาว 6 ปีกว่าจะดัง เคยตกอับ 3 เดือนหาเงินได้ 9,000 กินของใกล้หมดอายุ สารภาพต้องเกาะแม่กิน ถูกครอบครัวกดดันหนักเป็นนักแสดงจะเอาอะไรกิน จนตัดสินใจจะไปตั้งหลักใช้ชีวิตที่อเมริกา จากนี้ไปขอทำทุกโอกาสเข้ามาให้ดีที่สุด เผยเรื่องหัวใจมีแฟนแล้ว
กว่าจะดังแบบนี้โมสต์ต้องตะกายดาวในเส้นทางบันเทิงถึง 6 ปี มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง บางทีหาเงินได้เดือนละ 3000 ต้องขอตังค์แม่ใช้ กระทั่งทางบ้านกดดันให้ออกจากวงการบันเทิงเพื่อหาอาชีพที่มั่นคง เจ้าตัวจึงตัดสินใจจะปักหลักที่อเมริกาเพื่อหาเส้นทางชีวิตใหม่ โชคดีที่ละครบุพเพสันนิวาสดัง แม่นายจ๋าก็เลยได้เห็นหน้าหล่อๆ ของไอ้จ้อยในวงการบันเทิงต่อไป
“ผมไปเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกา เพิ่งกลับมาครับ อยากไปตั้งนานแล้ว พอถ่ายบุพเพฯ เสร็จก็จะไปเลย ก็ไม่ได้ถึงกับจะหันหลังให้วงการบันเทิง ไม่ได้ดรามาอะไรมากมาย ไม่ใช่ว่าทำงานมาตั้งนานแล้วไม่ดังสักทีก็เลยไป ที่ผ่านมาผมแค่อยากทำอาชีพนักแสดงและมีกินเหมือนคนอื่นที่เขาประกอบอาชีพกัน เพราะผมเรียนการแสดงจบมาจาก มศว และผมก็ไม่ได้คิดว่าทำไมไม่ดังสักที ไม่เคยคิดเลย แต่ก็เข้าใจว่าอาชีพนี้มันต้องดังถึงจะอยู่ได้ ก็เลยคิดว่าหลายอย่างมันไม่ลงตัว
ผมเลยคิดว่าเราควรหาหลักอะไรที่ทำให้ครอบครัวสบายใจ แต่ผมยังไม่ได้ยอมแพ้นะ แค่คิดว่าเราต้องหาอะไรบางอย่างให้ตัวเองแล้ว ผมตั้งใจจะไปเรียนบริหารเพราะเราไม่เคยเรียนมาเลย จึงตัดสินใจไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มก่อน บวกกับที่บ้านถามว่าเราจะทำอะไร ผมไม่มีคำตอบให้เขา ผมตอบอะไรไม่ได้เลยเพราะตลอดปีที่ผ่านมาเราอยู่กับการแสดงตลอด เลยตอบที่บ้านไม่ได้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป บวกกับที่บ้านก็มีธุรกิจ ก็เลยคิดว่าถ้ายังไม่ได้อะไรทำ เราก็คงจะตามรอยทำธุรกิจที่บ้านไปก่อน”
“พอเราจะได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ เราก็ยังไม่ให้คำตอบเขานะว่าเราจะไปเรียนต่อที่มหาลัยด้านมาร์เกตติ้ง แต่คือไปเรียนภาษาให้รอดก่อนดีไหม และตั้งใจว่าอยากจะไปอยู่แล้ว ก็เลยไปเรียนด้วยเลยจะได้ไม่เสียเปล่า เพราะพอเราถ่ายบุพเพฯ จบแล้ว เราก็คิดว่าเรื่องการแสดงเราน่าจะพักก่อน ไปหาอะไรอย่างอื่นทำก่อนดีไหม เพราะทำมาตั้ง 6 ปีแล้ว วนอยู่แบบเดิมๆ ทำไมเราไม่คิดว่าเราจะไปหาวิชาชีพใหม่ๆ ผมก็เลยลองพักดูก่อนและไปลองเรียนรู้ใหม่ๆ”
“ตอนนั้นก็ปลงแล้วนะครับ คือเข้าใจมันมากกว่าและยอมรับความจริง ก่อนหน้านั้นอาจจะมีบ่นบ้าง ทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จสักที ผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องดังแค่ไหน เพราะผมแค่คิดว่าเราทำอาชีพนี้ได้อย่างสบายใจ ที่บ้านไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความมั่นคง และช่วงหลังๆ งานก็เริ่มมีบ้าง ไม่มีบ้าง ชีวิตเริ่มไม่ปลอดภัย มันฟุ้งซ่าน บ้านเราก็ทำธุรกิจก็พอมีอันจะกินแต่ไม่ได้มีให้เรากินตลอดไป
เขาก็สอนให้เราทำมาหากินเอง เขามีให้เรากินคือเขาเหนื่อยมากเลยนะ และวันหนึ่งที่เขาเหนื่อยมาก แล้วเราจะกินอะไร ไม่ต้องเกี่ยวว่าจนหรือรวย แต่ด้วยอายุขนาดนี้ เรียนจบแล้ว มันควรจะทำอะไรสักอย่างได้แล้ว แต่เราคิดใหม่ว่าเราต้องหาหลักประกันให้ชีวิตก่อน พอทุกอย่างมันโอเค เราจะได้ไม่ต้องมาพะวงเรื่องการกินอยู่ ถามว่าถ้ามันดัง มันก็ดี มันคือกำไร แต่ผมแค่ต้องการทำในสิ่งที่ผมรักและเรียนมาเท่านั้นเอง”
“ที่บ้านกดดันเป็นเรื่องธรรมดา เราเป็นลูกคนจีนด้วย และนี่ก็ผ่าเหล่ามากนะ (ยิ้ม) มาทำอาชีพนี้ และเขาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีรายได้ที่มันจะเข้ามา ยิ่งช่วงปีหลังๆ ผมยืมเงินแม่ทั้งปีเลยนะ และเขาก็จะถามเราว่าจะทำอะไรดี ช่วงนี้มันขึ้นหรือมันลง เพื่อนก็ถามว่าช่วงนี้เราจะมีผลงานอะไรให้ดูบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตั้งใจมากดดันเราหลอก แต่เราก็เริ่มคิดแล้วว่าหนทางนี้มันไม่สมูทแล้ว เราต้องช่วยพยุงตัวเองให้มันดี ไม่ใช่จะมาคิดว่าเราต้องทำเพื่อความฝัน และผมพูดจริงๆ ว่าเพื่อนผมเรียนจบการแสดงมาแต่มีไม่กี่คนที่ได้ทำในสิ่งที่เรียน”
“ผมได้เห็นความจริงแล้วว่าเส้นทางมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เราคิดไว้ เพราะย้อนกลับไปเราก็เคยคิดนะว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราก็จะเลือกเรียนสาขานี้ แต่เราก็คิดอีกว่าถ้าเราเรียนบริหาร เราจะออกมาเป็นยังไง แต่พูดเลยว่าการแสดงให้อะไรกับเรามาเยอะมาก มันพลิกชีวิตผมเอามากๆ ก่อนหน้านี้แทบจะไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร การเรียนการแสดงเหมือนทำให้ชีวิตเราได้เกิดใหม่ ตอนสบอติดที่บ้านก็ว่าครับ นี่อุตส่าห์สอบตรงติดเลยนะ แต่เขาก็ถามกลับมาเบาๆ ว่าจบมาแล้วทำอะไรล่ะลูก (หัวเราะ) ก็ยอมรับว่าเราตอบอะไรไม่ได้เลย”
“ตอนนี้เรื่องหัวใจก็ยังว่างนะครับ แต่ด้วยความที่เราอายุ 26 ปีแล้วมันก็ต้องมีคุยๆ บ้างเนอะ คนเราต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วยความรัก ให้มีกุ๊กกิ๊กบ้าง เพราะก่อนจะจริงจังเราก็ต้องมีคนคุยก่อนเนอะ (ยิ้ม) ก็เป็นคนไทยนี่แหละ ส่วนเรื่องคุยก็อาจจะคุยแบบพิเศษกว่าคนอื่นหน่อย ก็จิ๊จ๊ะไปเลย”