- 20 ส.ค. 2563
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก ตุ๊ก วิมลเรขา ที่เข้าสู่วงการเมื่อปี 2538 โดยในช่วงนั้นอดีตนางเอกเพิ่งจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสอบตั๋วทนายผ่าน สามารถเป็นทนายเต็มตัวได้แล้ว แต่ยังไม่มีใครทราบ ในช่วงเดียวกันก็มีโอกาสได้พาเพื่อนไป Casting คัดนักแสดง แต่จับพลัดจับผลู กลายเป็นตัวเองที่ได้งาน โดยประเดิมละครเรื่องแรกคือ "ขุนศึก" ละครฟอร์มยักษ์ในยุคนั้น
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก ตุ๊ก วิมลเรขา ที่เข้าสู่วงการเมื่อปี 2538 โดยในช่วงนั้นอดีตนางเอกเพิ่งจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสอบตั๋วทนายผ่าน สามารถเป็นทนายเต็มตัวได้แล้ว แต่ยังไม่มีใครทราบ ในช่วงเดียวกันก็มีโอกาสได้พาเพื่อนไป Casting คัดนักแสดง แต่จับพลัดจับผลู กลายเป็นตัวเองที่ได้งาน โดยประเดิมละครเรื่องแรกคือ "ขุนศึก" ละครฟอร์มยักษ์ในยุคนั้น
เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอต่อจากนั้น ตุ๊ก วิมลเรขา มีโอกาสสัมผัสกับ งานพิธีกร อาทิ รายการบ้านเลขที่ 5, พากินพาเที่ยว, ท้าเที่ยวไทย, ลุ้นข้ามโลก ฯลฯ ได้มีโอกาสเห็นและสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ได้ไปดูสถานที่ Unseen Thailand ทั่วประเทศไทย หลังจากนั้นได้กลับมาเรียนต่อเนติบัณฑิต ต่อด้วยปริญญาโทและปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยเดิม จนจบเป็นด็อกเตอร์ และเป็นอาจารย์ที่คณะนิติศาสตร์ ม.พะเยา ในปัจจุบัน
“หลังเรียนจบด็อกเตอร์ก็ได้รับการชักชวนจากท่านคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ท่านเป็นนักเรียนปริญญาเอกรุ่นเดียวกัน จบมาพร้อมกัน ท่านชวนให้มาเป็นคุณครูที่หุบเขาในจังหวัดพะเยา มาเป็นแม่พิมพ์สอนกฎหมาย สร้างเด็กกฎหมายรุ่นใหม่ๆ เพราะด็อกเตอร์ในเมืองไทยทางด้านกฎหมายหายากมาก เป็นช่วงของการขาดแคลน ที่มีอยู่ก็มักอยู่ในสายการเมือง อยู่ในองค์กรต่างๆ เช่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรืออัยการ ซึ่งท่านเหล่านี้ ไม่ได้มาเป็นครูที่อยู่ประจำ ดูการพัฒนาการของเด็ก ส่วนใหญ่ท่านผู้ใหญ่จะเป็นครูพิเศษบินมาสอนในบางช่วงเวลาเท่านั้น ไม่ได้มาคลุกคลีแบบนี้ สิ่งที่มหาวิทยาลัยขาดคือต้องการมีครูที่อยู่กับเด็กมาสร้างนักกฎหมายรุ่นใหม่ ที่จะออกไปทำให้บ้านเมืองนี้เดินต่อไปอย่างสงบสุข
"ตอนแรกตุ๊กไม่เคยคิดว่าจะมาได้ เพราะยังติดงานวงการบันเทิงอยู่ แต่คงเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต ไหนๆ เรียนมาทางด้านนี้แล้วก็ต่อไปให้ถึงปลายสุดเลย เพราะยังไม่มีดาราที่จบปริญญาเอกทางด้านกฎหมายในตอนนั้น เปลี่ยนหน้าที่ในการรับผิดชอบพยายามทำให้ดีที่สุดแบบที่จะเป็นได้ในวิชาชีพนั้น ไม่ว่าจะเป็นดาราก็ตั้งใจ เป็นทนายก็ตั้งใจ มาเป็นครูก็ตั้งใจ พยายามหาจุดที่มันเป็นความสุขให้ได้
"อีกจุดที่ทำให้เปลี่ยนมาอยู่ต่างจังหวัดในหุบเขา คือเริ่มเบื่อเมืองหลวง เป็นยุคที่มีคนรู้เยอะมาก แต่ว่าเรากำลังใช้กฎหมายที่เข้าข้างตนเอง เข้าข้างพรรคพวกของเราในการตีความในเชิงที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่น เป็นยุคของโซเชียลมีเดียที่ทำให้ มีความไม่เชื่ออย่างรุนแรง เลยคิดว่าในรอบนอกที่เค้าจะต้องพัฒนาตนเอง ควรที่จะต้องมีต้นแบบในวงการนี้ที่จะเติบโตขึ้นมา เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา ควรต้องเซทอัพตั้งแต่แรก จึงคิดว่าเป็นจุดนึงของชีวิตที่จะได้ทำและท้าทาย
"ขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มา 8 เดือนแล้ว ที่มหาวิทยาลัยพะเยา อยู่ในหุบเขา ซึ่งมีธรรมชาติที่สวยงามมาก ถือว่าเป็นช่วงที่พักผ่อนและสร้างคนให้กับสังคม บางทีก็มีลูกศิษย์แซว เงินเดือนอาจารย์ ดูท่าจะไม่พอค่าเครื่องสำอาง (หัวเราะ) เค้าก็สงสัยกันว่าทำไมไม่ไปเลือกอยู่เมืองหลวง เพราะค่าตอบแทนคุณครูในหุบเขาก็ไม่ได้มีค่าตอบแทนอะไรมากมาย เพื่อนวงการบันเทิงถามว่าเป็นครูบ้านนอกแล้วจะพอกินหรอ เค้าสงสัยว่าติดลบทุกเดือนแต่ทำไมถึงอยู่ได้ เราก็บอกว่าก็ไม่ต้องดูบัญชีทำลืมๆไป (หัวเราะ) อาศัยที่เรามีความตั้งใจที่เข้มแข็ง ”