- 07 ก.ย. 2563
เชื่อว่าหลาคนที่เคยเห็นเรื่องราวความรักของสองนักแสดงอาวุโสอย่าง พ่อรอง เค้ามูลคดี กับ แม่ทุม ปทุมวดี ต่างต้องประทับใจกับความรักของทั้งสองเป็นแน่ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ที่ทั้งสองครองรักอยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีสักวันที่พ่อรอง จะไม่นึกถึงแม่ทุมเลย
เชื่อว่าหลาคนที่เคยเห็นเรื่องราวความรักของสองนักแสดงอาวุโสอย่าง พ่อรอง เค้ามูลคดี กับ แม่ทุม ปทุมวดี ต่างต้องประทับใจกับความรักของทั้งสองเป็นแน่ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ที่ทั้งสองครองรักอยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีสักวันที่พ่อรอง จะไม่นึกถึงแม่ทุมเลย แม้ว่าในตอนนี้แม่ทุมจะป่วยเป็นโรค ALS มานานถึง 8 ปี แต่พ่อรอง ก็ยังคงดูแลเอาใจใส่แม่ทุมเป็นอย่างดี คอยอยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจไม่ห่าง ทั้งนี้แม้หมอ เคยบอกว่าในส่วนของอาการอยากจะให้ญาติเตรียมใจไว้เพราะอาการของแม่ทุม อยู่ใกล้ระยะสุดท้ายคือเริ่มไม่รู้เรื่องเนื่องจากโรค ALS (โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ) จะทำลายเซลล์ระบบประสาท ทุกส่วนทีละนิด จนตอนนี้เซลล์ได้ถูกทำลายจนใกล้หมดแล้ว จากการต่อสู้โรคมาเป็นเวลานานของแม่ทุม ซึ่งทางครอบครัวของพ่อรอง ได้ทำใจมาระยะหนึ่งแล้ว
อนึ่งหากย้อนกลับไปในวัยหวาน พ่อรองกับแม่ทุมนั้นเริ่มจากการเป็นเพื่อนก่อน จากนั้นเมื่อเรียนจบจึงได้แยกย้ายกันไปทำงานที่ต่างๆ จนครั้งที่แม่ทุมได้ไปร้องเพลงรายการหนึ่งแล้วเจอพ่อรองทำงานอยู่ทีวีช่อง 4 บาง ขุนพรมหมเป็นนักพากษ์ ก็ยังคุยกันเหมือนเพื่อนทั่วไป แม่ทุมนั้นมีนิสัยเป็นคนโผงผางซึ่งผู้หญิงสมัยก่อนไม่ค่อยมีนิสัยนี้มากเท่าไหร่นัก พ่อรองจึงประทับใจในตัวแม่ทุม จากความเป็นเพื่อนสนิทกันเรื่อยๆ จนพ่อรองขอแต่งงานประมาณ พ.ศ. 2509 ในที่สุด จนทั้งสองมีลูกด้วยกันหนึ่งคนคือ ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี หรือยุ้ย และมีบุตรบุญธรรมอีก 2 คน หลังจากแต่งงานกันได้พักหนึ่งแม่ทุม ได้หันมารับงานแสดงละครและภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว จนกระทั่งได้เป็นผู้จัดละครโทรทัศน
ในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ด้วยความที่พ่อรองมีนิสัยเป็นคนสนุกสนาน เริงรื่น ชอบเที่ยวกลางคืน ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาหาเยอะ จึงเกิดเป็นปัญหามรสุมชีวิตคู่ขึ้น จนถึงขนาดมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พ่อรองขอเลิกกับแม่ทุม แล้วก็หายไปเป็นปี ในเรื่องนี้ แม่ทุมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ ถึงการเลิกกันในตอนนั้นแม่ทุม ยังสุขภาพดี ว่า... "มีอยู่ครั้ง เขาขอเลิกกับเรา แล้วหายไปเกือบปี... เสียใจแค่ช่วงเดียวนะ ที่เสียใจมากๆ แบบลึกๆ จะกินยาตายเลย แค่วูบเดียว แต่ก็ไม่กิน เพราะตอนนั้นความอบอุ่นคนรอบข้างเรามี ร้องเพลงทำงานไป ถึงไม่ทำงานก็มีพ่อมีพี่ชายเลี้ยง บ้านช่องรถราก็มี จะไม่ค่อยคิดมาก ลูกก็ไม่มียังไม่มีในตอนนั้น..."
"..แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับมา แล้วจะมาหยิบใช้ข้าวของซึ่งเขาทิ้งไว้ก่อนไป แม่ก็บอกเลยว่า "อย่ามาแตะต้องของพวกนี้นะ นี่มันของผัวฉัน" ซึ่งจริงๆ ก็ของเขานั่นแหละ แต่ที่เราพูดอย่างนั้นเราถือว่าเราบริสุทธิ์ใจไง ก็ของผัวฉันจริงๆ เธอจะคิดว่าฉันไม่ใช่เมียก็ช่าง แต่นี่...ของผัวฉัน" หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทั้งพ่อรองกับแม่ทุม ก็จับเข่าคุยกันอย่างเปิดอก จนผ่านมรสุมชีวิตลูกแรกไปได้ ก่อนกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง จนกระทั่งมีลูก ถึงแม้ว่าพ่อรองจะยังไม่เลิกเที่ยว แต่ก็น้อยลงซึ่งแม่ทุมก็เข้าใจ ว่าเป็นธรรมดาของคนเพื่อนเยอะอย่างพ่อรอง ต้องมีสังสรรค์กันบ้าง จนบางครั้งก็มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาให้ยุ่งยากใจเช่นเคยแต่ไม่หนักเท่าครั้งที่พ่อรองขอเลิก จนมาถึงพ.ศ. 2548 แม่ทุมป่วยเป็นโรคไทรอยด์จนร่างกายผ่ายผอม จากเดิมที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วน จึงอาศัยโอกาสนี้เข้าทำศัลยกรรมพลาสติก จนหน้าตาผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยขึ้นแต่นั้นเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆจากโรคไทรอยด์ ที่เกิดขึ้น ต่อมา พ.ศ. 2555 แม่ทุมเริ่มผ่ายผอมจากอาการป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษอีกครั้ง ทำให้น้ำหนักตัวที่เคยมี 60 กิโลกรัม ลดลงเหลือ 36 กิโลกรัม และมีภาวะจำอะไรไม่ได้ และเป็นโรค ALS ในที่สุด
ด้วยโรค ALS เป็นโรคเกี่ยวกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงทำให้ค่ารักษาพยาบาลของแม่ทุมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว และหลายครั้งที่อาการของแม่ทุมอยู่ในขั้นอันตรายแต่ด้วยความรักของพ่อรอง ก็ทำให้อาการของแม่ทุมกลับมาดีขึ้นอีกครั้งสลับอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายปี จนมาถึงปี 2560 อาการของแม่ทุมทรุดลงเรื่อยๆ จนต้องใช้ค่ารักษาที่มากขึ้น ในที่สุดพ่อรองจึงยอมขายบ้านหลังใหญ่ แล้วย้ายครอบครัวไปอยู่บ้านหลังเล็กแทน แต่ในครอบครัวของพ่อรองก็ยินดีเพราะถือเป็นความสุขของครอบครัวหากแม่ทุมอาการดีขึ้น และถึงแม้ว่าพ่อรองจะป่วยก็ยังต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาเป็นค่ารักษาแม่รอง ซึ่งถือเป็นเรื่องหาได้อยากที่จะได้คู่ชีวิตดีๆ แบบพ่อรองนี้ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าเรื่องราวชีวิตคู่ของพ่อรองกับแม่ทุมจะยากลำบากเพียงใดต่างก็จับมือกันฝ่ามรสุมชีวิตด้วยกันจวบจนในวัยชรา ที่ทั้งสองอยากเพียงแค่อยู่มองหน้ากันไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ทั้งนี้ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของแม่ทุม จากไปอย่างสงบในวัย 72 ปี เมื่อช่วงเวลาตี 2 ที่ผ่านมา โดยพ่อร้องได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งก่อนวันเสียแม่ทุมเพียงหนึ่งวันว่าตนอยากไปหาแม่ทุมมากแต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงและพึ่งออกจากโรงพยาบาลทำให้ หมอสั่งห้ามเยี่ยมโดยเด็ดขาด จึงไม่ทนได้ไปดูใจภรรยาในครั้งสุดท้าย ถือเป็นความเสียใจอย่างยิ่งใหญ่ของพ่อรองเลยก็ว่าได้