- 10 ก.ย. 2563
หลังจากที่นักร้องหญิงลูกทุ่งยอดนิยม อย่างจินตหรา พูนลาภ ได้ทาบทามลุงพล หรือ ไชย์พล วิภา ให้ไปขึ้นคอนเสิร์ตที่เต่างอยด้วยกัน และเพลงที่จะนำไปร้องด้วยกันก็คงจะหนีไม่พ้นเพลง เต่างอย ที่โด่งดังอยู่ตลอด และหลังจากลุงพลได้เข้าห้องบันทึกเสียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ หลังจากลงยูทูบไปวันแรกยอดวิวครบ 1 ล้านวิวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าบรรดาแฟนคลับลุงพลและจินตหราเป็นอย่างมาก จนกระทั่งล่าสุดรายการ "ถามสุดซอย" ดำเนินรายการโดย "เอิ๊ก พรหมพร ยูวะเวส" ได้เปิดใจสัมภาษณ์ "อุ๊บ วิริยะ" และ "ปิ๋ม ซีโฟร์" กรณีแฮชแท็กร้อน "แบนลุงพล"
จากกรณีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” อายุ 3 ขวบ เหตุเกิดที่บ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 63 กระทั่งไปพบศพกลางป่าบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 5 กม. ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งหาหลักฐานเพื่อตรวจหาDNAแฝงแต่ผ่านไปเดือนกว่าแล้วก็ยังไม่สามารถคลี่คลายคดีได้
หลังจากนั้นเมื่อลุงพลทราบเรื่องที่แม่น้องชมพู่สงสัยก็เกิดความเสียใจเป็นอย่างมากไม่คิดว่า แม่น้องชมพู่จะคิดแบบนี้กับตน จึงประกาศตัดญาติ เรื่องราวเริ่มบานปลายเพราะต่างฝ่ายๆต่างแฉกันไปมา และเรื่องราวดังกล่าวมีชาวโซเชี่ยลจำนวนมาก เกรงว่าลุงพลจะโดนหมายจับ และเชื่อว่าลุงพลไม่ได้ทำแน่นอน
ต่อมา หลังจากที่นักร้องหญิงลูกทุ่งยอดนิยม อย่างจินตหรา พูนลาภ ได้ทาบทามลุงพล หรือ ไชย์พล วิภา ให้ไปขึ้นคอนเสิร์ตที่เต่างอยด้วยกัน และเพลงที่จะนำไปร้องด้วยกันก็คงจะหนีไม่พ้นเพลง เต่างอย ที่โด่งดังอยู่ตลอด และหลังจากลุงพลได้เข้าห้องบันทึกเสียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ หลังจากลงยูทูบไปวันแรกยอดวิวครบ 1 ล้านวิวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าบรรดาแฟนคลับลุงพลและจินตหราเป็นอย่างมาก จนกระทั่งล่าสุดรายการ "ถามสุดซอย" ดำเนินรายการโดย "เอิ๊ก พรหมพร ยูวะเวส" ได้เปิดใจสัมภาษณ์ "อุ๊บ วิริยะ" และ "ปิ๋ม ซีโฟร์" กรณีแฮชแท็กร้อน "แบนลุงพล"
"อ.เสรี วงษ์มณฑา" อยู่ในสาย เห็นด้วยมั้ยกับการนำเสนอข่าวลุงพลตลอดที่ผ่านมาของสื่อ?
อ.เสรี : "จริงๆ แล้วเวลาทำข่าวมันก็อยู่ที่ว่าเราเป็นรายการประเภทไหนอย่างไร สำหรับคนมองว่าการทำข่าวหลักของสื่อสารมวลชน หนึ่งต้องให้คนรู้เท่าทันสถานการณ์ สองเอาประเด็นมาถกกัน สามเป็นครูของสังคม ให้ประโยชน์ ข้อที่สี่บันเทิง ถ้าเขาเสนอก็ได้ข้อสี่ แต่ก็มีคนบางคนอยากให้สื่อทำหน้าที่ข้อสาม ก็จะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่ามันบันเทิงมากไปหรือเปล่า สังคมได้อะไรจากตรงนี้หรือเปล่า ทั้งสองข้างไม่มีใครผิดถูก คนที่เขาบอกว่าก็ฉันเสพสื่อเพื่อความบันเทิง การที่ฉันตามเรื่องลุงพล ก็บันเทิงดี ทำไมล่ะ ก็สนุกของฉัน ถ้าเธออยากได้อะไรที่เป็นเนื้อหาสาระกับชีวิตก็ไม่ต้องดูตรงนี้ ซึ่งก็เหมือนพี่ พี่ไม่ดูเลยนะ ตามข่าวในฟีดว่าเขาคุยอะไรกัน แต่ไม่เคยดูรายการ"
คิดยังไงที่สินค้าและหลายๆ อย่างที่ไปเกาะกระแสลุงพล ให้ลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้รีวิวสินค้าบ้าง หรือฟีเจอร์ริ่งร้องเพลงดังกับจินตหรา พูนลาภ?
อ.เสรี : "เขาก็ต้องเจอคนสองกลุ่มเหมือนกัน คนที่เขาดูลุงพลแล้วเพลิดเพลิน เจริญใจ คนที่เขาชอบดูลุงพล คนที่นำเอาลุงพลไปเป็นพรีเซ็นเตอร์เขาก็ได้ผลเป็นบวก แต่สำหรับคนที่บอกว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยไม่ใช่เหรอ มันยังไม่ชัดเจนไม่ใช่เหรอ แล้วเอามาทำไม ฉะนั้นขอยุติสนับสนุนชั่วคราว จนกว่าลุงพลจะผิดหรือถูกก็ค่อยว่ากัน มันก็แล้วแต่คนคิด มันต้องเจอคนสองประเภทแน่นอน"
ถ้าอาจารย์จะเกาะกระแสลุงพลมั้ย?
อ.เสรี : "ถ้าพี่เป็นที่ปรึกษาสินค้า พี่ไม่เกาะค่ะ เพราะพี่เชื่อว่าคนที่สนใจลุงพล มีน้อยกว่าคนที่ไม่สนใจ เพียงแต่คนที่ไม่สนใจเขาไม่ได้แสดงออกว่าไม่สนใจ แต่คนที่สนใจเขาแสดงออก สมมติมีคน 10 คนสนใจอยู่ 2 คน ไม่สนใจ 8 คน คิดว่าคน 8 คนเขาจะทำอะไรมั้ย เขาก็ไม่ทำ เขาก็อยู่ของเขาเฉยๆ แต่สองคนจะต้องกระดี๊กระด๊าเข้าไปกดดูมิวสิกวิดีโอ ต้องไปตามดูลุงพลนั่งกินข้าว ตรงนี้เลยทำให้ดูว่าคนสนใจเยอะ อย่างวิว 2-10 ล้าน คนในประเทศไทยมีเท่าไหร่"
อาจารย์จะไม่เกาะกระแส แล้วจะร่วมแบนลุงพลด้วยมั้ย?
อ.เสรี : "ถ้าของที่เขาโฆษณาอร่อย พี่ก็กิน ไม่เกี่ยวกับลุงพล เกิดมาม่าเชียร์ลุงพล พี่ก็กินต่อ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องโอ้ย ต้องไม่กินมาม่า พี่ซื้อสินค้าที่ความชอบ ไม่เกี่ยวกับใคร พี่สั่งส้มจากเชียงใหม่ยังไม่กลัวเลยว่าเจ้าของสวนเขาเป็นแดงหรือเปล่า พี่สั่งทุเรียนภูเขาไฟจากศรีสะเกษ ทั้งที่อีสานเขาเชียร์เพื่อไทย ก็ไม่เคยมานั่งคิด อยากกินก็สั่งออนไลน์ ไม่เกี่ยว"
อาจารย์แยกแยะได้ แต่คนอีกเยอะแยะเขาแยกแยะไม่ได้?
อ.เสรี : "ก็หัดแยกแยะซะสิ พ่อแม่ก็สอนซะสิ"
ตอนนี้มีนักข่าวสองคนลาออก เพราะรับไม่ได้กับการที่ถูกสั่งว่าไปตามถ่ายเรื่องราวลุงพล คิดว่ายังไง?
อ.เสรี : "พี่เป็นคนนึงถ้าเกิดทำงานที่ไหนไม่สบายใจพี่ก็ออก ถ้าเขาออกเองไม่ได้ถูกบีบ เขาฟังคำสั่งแล้วไม่เอา อยู่ไม่ได้ ไปดีกว่า ถ้านายจ้างเอาคำสั่งเป็นเงื่อนไข นายจ้างผิด แต่ถ้านายจ้างสั่งให้ทำ แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไข แต่คนทำไม่สบายใจที่จะทำ แล้วลาออกเอง นายจ้างไม่ผิด ถ้านักข่าว 2 คนนั้นออกด้วยความสมัครใจ เพราะเขาไม่สบายใจที่จะทำต่อ เขาก็ทำถูกแล้ว"
พี่อุ๊บไปทำอะไรกับลุงพล?
อุ๊บ : "ทำงานครับ ไม่ได้เอามาเป็นผัวอย่างที่คนมาด่าๆ ในเฟซ ไม่เข้าใจเหมือนกัน รสนิยมพี่ชอบเด็กหนุ่ม สูงวัยไม่เอาค่ะ ทำงานนะคะ บางคนบอกว่าไปกกกอกไปเป็นเมียน้อยลุงพลเหรอ ไปกินผู้ชายเหรอ อายุปูนนี้ไม่เอาแล้วค่ะ ทำงานอย่างเดียวค่ะ หาเงินเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว มีความสุขค่ะ"
ทำงานอะไร?
อุ๊บ : "พี่ทำงานสายบันเทิง เป็นที่ปรึกษา คุยกับหมอปลา ไอซ์ สารวัตร คนที่เหมาะสมที่จะเป็นที่ปรึกษาที่สุดคืออุ๊บ วิริยะ เพราะเชี่ยวชาญจัดเจนในวงการบันเทิงมายาวนาน 40 ปี ตั้งแต่อั้ม พัชราภา ยังสาว"
พี่อุ๊บไปหาเขา?
อุ๊บ : "ฉันไม่ได้แรดต้องเอาตัวไปหาที่กกกอก มันมีสตอรี่ นักข่าวสัมภาษณ์ก่อนว่าปีนี้ข่าวดังๆ เรื่องอะไรสามารถนำมาเป็นซีรีส์หนังได้ เราก็บอกว่าจ่าคลั่งที่โคราช น้องแป๋วแหวนขายพวงมาลัยใต้ทางด่วน พี่เตี้ย มช. น้องชมพู่ กกกอก เราตอบไปทั่ว แต่เขาไปตัดออกหมด เหลือกกกอกอันเดียว ดิฉันก็งานเข้า ไหนๆ เล่นใหญ่แล้วก็ไปกกกอก บินไป 3 ครั้ง ให้กำลังใจ ลงพื้นที่เอง หน้าด้านไปเองเลย ดูสิที่เขาร่ำลือว่าลุงพลหล่อมาก อยากรู้ว่าหล่อแค่ไหน ไปให้กำลังใจผู้สูญเสีย และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้าย ไปหมด 3 ครั้ง ไปมาก็เกิดความผูกพัน มีงานติดต่อด้วยก็เลยหลวมตัวไปโดยปริยาย เหมือนจับพลัดจับผลูด้วย"
"ตอนนั้นลุงพลยังไม่มีกระแส ลุงพลยังไม่มีงาน ก็เริ่มจากจะทำกกกอกเดอะซีรีส์ จริงๆ มีนายทุนมา แต่แม่ไม่อนุญาต เราก็ไม่เป็นไร คิดว่ามาทำบุญแล้วกัน มาเยี่ยมทุกฝ่าย เพราะคดียังไม่สิ้นสุดจับคนร้ายไม่ได้ แล้วมีโอกาสไปคุยกับลุงพลจากข่าวที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าเขาถูกกล่าวหา เป็นผู้ต้องสงสัย ไปเจอสภาพบ้านและตัวจริง เราเห็นแล้วสงสาร ช่วงที่เขาถูกกล่าวหาเขาย่ำแย่ เขาตกงาน เขาสามารถฆ่าตัวตายได้ เขากดดันถึงขั้นโกนหัวโกนคิ้วตัวเอง เราก็คิดว่าน่าจะทำอะไรให้กับคนๆ นี้"
คดีไม่จบ เขาก็เป็นผู้ต้องสงสัย ถ้าเกิดตัดสินมาแล้วลุงพลผิดจริง?
อุ๊บ : "ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เขายังไม่ใช่คนร้าย เราจะช่วยทุกคน เราไปคนก็ด่าว่าอีนี่โหน"
ค่าตัวลุงพลตอนนี้เท่าไหร่?
อุ๊บ : "จริงๆ ที่คุยงานวันนี้ 5 แสน สองคนล้านนึงก็มี 5 แสนเป็นภาพนิ่งไม่ได้ออกทีวี"
นี่มันเรตซุป'ตาร์?
อุ๊บ : "ก็ใช่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น 10 กว่างานที่ติดต่อเข้ามาพูดตรงๆ เป็นงานที่โอเคมาก อยู่ระหว่างการเตรียมตัว ทำสัญญากัน"
มีอะไรติดต่อเข้ามาบ้าง?
อุ๊บ : "มีคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายภาพนิ่ง มียูทูป ลงเฟซเพจต่างๆ มีจิวเวลรี่ ย่านสีลม มีท่อน้ำสำหรับเกษตรกร มีเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ คลินิกความงาม เครื่องสมุนไพร มีให้ไปเต้นในผับในเทคกับสิตางศุ์ ซึ่งไม่เหมาะไม่งามอย่าไปเลย (หัวเราะ)"
รายได้เดือนนึงรับหลักล้าน?
อุ๊บ : "ยังไม่ถึงนะ เพราะงานอยู่ในระหว่างที่เราคุยกัน ระหว่างตกลง งานที่ได้ตอนนี้ก็ประมาณ 5 แสน จากร้องเพลงกับคุณจินตหรา 1 แสนบาท คุณปิ๋ม ซีโฟร์ 1.5 แสน หมอปลา 7.5 หมื่น ของพี่ 2 หมื่นที่ไปเดินแบบการกุศลหมาแมว"
ห้างแตกเพราะไปดูพี่หรือดูลุงพล?
อุ๊บ : "สงสัยเหมือนกัน ตอนนี้ไม่ต้องใช้ซุป'ตาร์ ดาราดัง มันเปลี่ยนไปแล้ว สมัยก่อนต้องใช้ตัวท็อปๆ ตอนนี้แค่มีลุงพล ป้าแต๋น สิตางศุ์ ส้มหยุด มีอุ๊บ วิริยะ ห้างแตก ถือว่าดูของแปลก มุมมองคนไทยเปลี่ยนไป"
ไปออกอีเวนต์แบบนั้น ค่าตัวลุงพลเท่าไหร่?
อุ๊บ : "ต้องดูว่างานอะไร เพราะแต่ละงานเรตค่าตัวไม่เหมือนกัน แต่เขาไม่ซีเรียส เขาเอาหมด เพราะเราสอนเขาตลอดเวลา เงินทองหายาก ตรงนี้ไม่ได้ฉวยโอกาส เป็นการคว้าโอกาส"
ได้เปอร์เซ็นต์?
อุ๊บ : "ไม่มี ตอนนี้พี่ไม่หักอะไรเลย ช่วยด้วยใจ เขาก็ได้เต็ม เงินแสนเงินล้านอยู่ระหว่างคุยกัน อย่างคุยงานลุงพล 5 แสน แต่อย่างพี่ พี่มีมูลค่า ลูกค้าก็จะให้พี่แสนนึง ก็เป็นค่าแต่งหน้า รถตู้ไปรับจิปาถะต่างๆ นานา ซึ่งไม่เกี่ยวกับลุงพล"
เขารวยแล้วสิตอนนี้?
อุ๊บ : "ไม่รวยนะ เขามีหนี้สินเป็นล้าน เพราะบ้าน รถ หนี้ธ.ก.ส. รถที่ใช้เหลือ 4-5 แสน หนี้ธ.ก.ส. ก็เกือบล้าน วันนี้ยังไม่รวย"
พอเกิดกระแสแบนลุงพล กระทบอะไรมั้ย?
อุ๊บ : "ลูกค้าก็ชะลอการตัดสินใจ จริงๆ ต้องนัดกันจิวเวลรี่ 10 โมงเช้าก็แคนเซิลกะทันหัน อีก 4-5 งานมา ก็เครียดเหมือนกัน เขาอาจไม่สบายใจที่เกิดข่าวแบบนี้ พี่ก็อธิบายให้เขาฟังว่าโอเค พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยมาคุยกัน เขายังไม่ใช่คนร้ายนะ ข่าวที่ออกไปอาจมีคนหมั่นไส้ อิจฉา เอาไปเปรียบเทียบกับบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ซึ่งลุงพลเขาก็บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่ฮีโร่ คนที่เกิดความรักให้เขา เขาก็รับ เพราะเขาไม่มีงาน ต้องกินต้องใช้"
อยากบอกอะไรคนแบนลุงพล?
อุ๊บ : "อยากให้เปิดใจให้กว้าง เขายังไม่ใช่ผู้ร้าย ช่วงที่เขาเจอมรสุมชีวิตเกือบเสียสติ เกือบฆ่าตัวตาย ไม่มีใครสนใจเขาเลย ณ วันนี้มีคนสงสารพร้อมช่วยเหลือ นั่นเป็นสิทธิคนช่วยเหลือ ก็ควรเห็นดีเห็นงามกับเขา ไม่ใช่ไปอิจฉาริษยาเขา ตัวเขาก็มีสิ่งที่ดี"
คนวิจารณ์ว่าเอากระแสหลานตัวเองที่เสียชีวิตมาหากิน?
อุ๊บ : "ไม่เกี่ยวนะ น้องตายไปแล้ว เขาก็ไม่เคยรับบริจาค เอารูปน้องมาตั้งหราเขาก็ไม่เคย เขาคิดเหมือนกันว่าอาชีพหลักคือทำไร่ทำนา งานในวงการไม่ใช่ทางอยู่แล้ว แต่ที่เขาทำเพราะคนให้โอกาสเขาถึงทำ เราไม่ได้ขอใครกินฟรี เราไม่ได้งอเท้างอมือ เราทำงานถึงได้เงิน พี่ไม่เคยให้เงินลุงพลนะ คุณทำงานคุณได้เงิน แต่ฝั่งชมพู่ให้เงินไปแล้ว 2 ครั้งทำบุญ ก็บอกเขาให้เข้าใจ"
ถึงจะมีกระแสออกมาต้าน แต่พี่ก็ยังจะดูแลงานให้ลุงพล?
อุ๊บ : "เขาไม่ใช่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายนะ ตรงนี้ก็ยังไปกล่าวโทษเขาไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นก็ค่อยว่ากัน วันนี้ก็ต้องช่วยดูแลเขาต่อไป"
คุณปิ๋ม ซีโฟร์ ซึ่งเลือกลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตกลงเซ็นสัญญากันไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง?
ปิ๋ม : "เรียบร้อยแล้วค่ะ วันที่แห่ขันหมากไปบ้านลุงพล"
ทำไมเลือกลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์?
ปิ๋ม : "คือลักษณะการตลาดและการโปรโมตสินค้า เราก็อยากได้พรีเซ็นเตอร์ที่อยู่ในกระแสเป็นที่สนใจของทุกคน"
ทำไมถึงขั้นต้องแห่ขันหมาก ปกติเลือกพรีเซ็นเตอร์ก็ไม่ต้องขนาดนั้น แค่นัดมาคุยรายละเอียด ตกลงกัน?
ปิ๋ม : "อยากให้โลกจำ (หัวเราะ) ตั้งใจทำการตลาด หุ้นส่วนท่านนึงเป็นคณะหมอลำที่ดังมากภาคอีสาน หมอลำพาเพลิน เราก็คิดว่าไหนๆ มีคณะหมอลำแล้ว เราก็ไปแบบม่วนๆ ลูกทุ่งๆ บ้านเราดีกว่า ก็แห่ขันหมากไปบ้านลุงพล ลุงพลก็ค่อนข้างตกใจ เราไม่ได้บอกว่าจะมายังไงบ้าง"
เซ็นสัญญานานเท่าไหร่?
ปิ๋ม : "6 เดือนค่ะ ค่าตัวก็หลักแสนอัพขึ้นไปตามในสัญญา แต่ลุงพลจะได้เรื่องส่วนแบ่งแต่ละกล่องด้วย ใครที่ซื้อแต่ละกล่องเราก็มีระบบให้ลุงพล-ป้าแต๋นเช็กในระบบได้ตลอดว่าตอนนี้ได้กี่กล่อง ได้เท่าไหร่อะไรยังไงบ้าง ถ้าขายได้้ 1 ล้านกล่อง เราจะมอบเงินเป็นของขวัญให้ลุงพล 1 ล้านบาท"
"พี่ต๊ะ นารากร" อยู่ในสาย ขอถามในฐานะเป็นสื่อมวลชน คิดเห็นยังไงสื่อโปรโมตลุงพลเยอะมาก จนตอนนี้สื่อเริ่มแบน?
ต๊ะ : "หนึ่งไม่อยากให้เหมารวมว่าเป็นสื่อทั้งหมด เพราะสื่อที่สร้างกระแสลุงพลและหาประโยชน์จากกระแสลุงพล ถ้าพูดจริงๆ มีสื่อเดียว และกีดกันสื่ออื่นๆ เขาก็ได้ประโยชน์เต็มๆ จากเรื่องนั้น แต่ก็อาจมีสื่ออื่นที่นำกระแสนี้ไปขยายความต่อ ฉะนั้นสื่อที่ทำแบบนี้ ไม่ได้เป็นสื่อทุกสื่อในเมืองไทย อยากให้แยกนิดนึง แต่ตอนนี้ที่มีกระแสแบนลุงพล ไปดูในทวิตเตอร์ก็เห็นแฮชแท็กเหมือนกัน คนก็บ่นๆ อยู่ มีคนอินบ็อกมาถาม อยากให้วิเคราะห์เรื่องนี้ บอกตรงๆ ว่าถ้าเนื้อหาเกี่ยวกับลุงพล ถ้าเราไม่ชอบก็ปิดซะ ปิดทีวีไม่ต้องไปดู ตอนนี้มีสื่อให้เลือกดูเยอะ มีคอนเทนต์หลากหลาย เราเป็นคนดูเราเลือกได้ เราเข้าใจนะว่าสื่อสมัยนี้เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อเรตติ้ง เพื่อรายได้สถานี มันอยู่ที่เราเองเราเลือกดูเนื้อหาไหน คอนเทนต์ไหน ช่องไหน"
คดียังไม่จบ แต่กลายเป็นหยิบยกคนๆ นึงมาสร้างเรื่องราวจนกลายเป็นเซเลปไปแล้ว พี่ต๊ะเห็นด้วยมั้ย?
ต๊ะ : "ถ้ามองว่าเป็นข่าว เป็นสำนักข่าว ก็ผิดหลักการทำข่าว ผิดจริยธรรมของการทำข่าว การที่เรานำเสนอข่าว เรานำเสนอเหตุการณ์ในฐานะคนสังเกตการณ์ เฝ้ามอง และรายงานข้อเท็จจริงเท่านั้น คนนำเสนอข่าวไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในข่าว หรือสร้างสตอรี่ สร้างข่าว อันนี้ก็ไม่ถูก แต่ตอนนี้ดิฉันมองว่าสื่อที่สร้างกระแสลุงพล เขาไม่ได้มองว่าเขาเป็นคนนำเสนอข่าวแล้วไง เขามองว่ากำลังสร้างคอนเทนต์ สร้างเรียลลิตี้ข่าว หรือสร้างดราม่าข่าวเพื่อแข่งขันกับละครหลังข่าว ก็เหมือนเป็นการสร้างเนื้อหา สร้างรายการทีวีสักรายการเพื่อทำให้เขามีเรตติ้ง มีรายได้ เพื่อให้คนมาดูเขา มันก็เป็นคนละแพลตฟอร์มกัน เพราะคนที่ดูทีวีเขาก็ชอบดูแบบนี้ แต่คนที่ติดแฮชแท็กแบนลุงพล คนในโซเชียลก็ไม่ใช่คนดูทีวีอยู่แล้ว ก็คิดว่าสื่อนั้นที่สร้างกระแส เอาตัวเองเข้าไปยุ่ง เอานักข่าวตัวเองไปเป็นผู้จัดการลุงพล หางานให้ลุงพล หารายได้จากลุงพล เขาก็ไม่ได้คิดหรอกว่าเขาต้องเป็นสถาบันที่ต้องรักษาจริยธรรมข่าว แต่เขาได้เรตติ้งได้รายได้ เจ้าของสถานีเขาพอใจ ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของสถานีเขาแล้ว"
สินค้าที่ลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์ พี่ต๊ะจะซื้อมั้ย?
ต๊ะ : "เราเลือกจากสินค้าผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ถ้าสินค้านั้นมีคุณภาพดี ใครเป็นพรีเซ็นเตอร์เราก็ซื้อ ถ้าเราชอบสินค้านั้น แต่ถ้ามีสินค้าที่มีคุณภาพเท่ากัน ดีเท่ากัน ราคาเท่ากัน แต่สินค้านึงจ้างพรีเซ็นเตอร์แพง เรารู้ว่าจ้างเอิ๊ก ค่าตัว 20 ล้านอย่างนี้ แต่อีกสินค้าเขาไม่จ้างพรีเซ็นเตอร์ เราจะเลือกสินค้าที่ไม่จ้างพรีเซ็นเตอร์ เพราะเรารู้ว่าต้นทุนสินค้าถ้าคุณจ้างแพงคุณก็ต้องบวกไปในราคาสินค้า เราเลือกสินค้า เลือกผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ เลือกคุณภาพมากกว่าพรีเซ็นเตอร์"
อยากบอกอะไรกับคนที่แบนลุงพล?
ปิ๋ม : "ก็เคารพในการตัดสินใจของทุกท่าน เรื่องคดีก็อีกเรื่องนึง เรื่องการทำงาน ลุงพลวันนั้นเราก็เห็นกับตาว่าเขาไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ทำมาหากินเลย แต่วันนี้เราหยิบยื่นโอกาสให้เขา เขาก็เป็นเหมือนพ่อค้ากลายๆ เลยก็ว่าได้ เราหยิบยื่นโอกาสให้เขาทำงานมากกว่า"