- 02 ต.ค. 2563
จากกรณีเหตุเกิดภายในโรงเรียนย่านราชพฤกษ์ ขณะที่เด็กอนุบาลกำลังนั่งเรียนกัน คุณครูกลับทำร้ายร่างกายเด็ก โดยมีทั้งผลักจนหน้าขมำ ตบหลัง และจิกหัวให้เดินไปหาคุณครูอีกคน ซึ่งมีผู้ใหญ่อยู่ภายในห้องอีก 3 คน แต่ทั้งหมดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กๆ ผู้ถูกกระทำรู้สึกหวาดกลัวและบอกกับผู้ปกครองว่าไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว จนเรื่องเกิดแดงขึ้นมามีคลิปการใช้ความรุนแรงออกมาจนเป็นข่าวในที่สุด
จากกรณีเหตุเกิดภายในโรงเรียนย่านราชพฤกษ์ ขณะที่เด็กอนุบาลกำลังนั่งเรียนกัน คุณครูกลับทำร้ายร่างกายเด็ก โดยมีทั้งผลักจนหน้าขมำ ตบหลัง และจิกหัวให้เดินไปหาคุณครูอีกคน ซึ่งมีผู้ใหญ่อยู่ภายในห้องอีก 3 คน แต่ทั้งหมดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กๆ ผู้ถูกกระทำรู้สึกหวาดกลัวและบอกกับผู้ปกครองว่าไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว จนเรื่องเกิดแดงขึ้นมามีคลิปการใช้ความรุนแรงออกมาจนเป็นข่าวในที่สุด
ซึ่งก่อนหน้านี้ ครูมาร์วิน เดินทางเข้ามอบตัว ที่สถานีตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.นนทบุรี และถูกส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.ชัยพฤกษ์ สอบสวนต่อ จากการตรวจสอบ พบว่า ครูมาร์วิน ถือวีซ่านักท่องเที่ยว ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยได้แค่เพียงแค่ 30 วันเท่านั้น และยังเป็นวีซ่าที่หมดอายุ ที่สำคัญไม่มีใบอนุญาตการทำงาน โดยในระหว่างที่ยังกลับประเทศไม่ได้เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด นายมาร์วิน ได้ไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ โดยเริ่มงานแบบทดลองเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือนละ 20,000 บาท ซึ่งทางโรงเรียนแจ้งว่า อยู่ระหว่างทดลองงานจึงไม่มีหนังสือสัญญาว่าจ้าง
โดย นายมาร์วิน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในคลิปทำร้ายน้องเสือว่า เหตุการณ์นั้น ตนไม่ได้ทำร้ายเด็ก แค่พยายามจะพาเด็กไปห้องน้ำ เพราะเห็นว่าเด็กมีน้ำมูกไหลลงที่ปากแล้วเด็กใช้มือเช็ดน้ำมูกจนเปรอะเปื้อนใบหน้า ตนจึงเดินไปชี้สั่งให้เด็กลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่เด็กไม่ยอมลุก ตนจึงเดินเข้าไปจับแขนเด็กให้ลุกขึ้น แต่เด็กไม่ยอมลุก จึงจับตัวเด็กลุกขึ้นมา ก่อนจะบังคับให้เด็กไปเข้าห้องน้ำ
ส่วนพฤติกรรมครูพี่เลี้ยงจุ๋มที่ใช้ความรุนแรงกับเด็กอนุบาล แต่ไม่ห้ามปราม นายมาร์วิน บอกว่า เคยถามครูจุ๋มไปแล้วว่า การทำแบบนี้จะไม่มีปัญหาหรือ ครูจุ๋ม ก็บอกว่าไม่มีปัญหาเพราะเป็นระบบโรงเรียนของประเทศไทย ที่ครูสามารถทำโทษนักเรียนได้
ต่อมา ตั๊ก บงกช คงมาลัย ในฐานะคนเป็นแม่ ที่มีลูกชายน้องข้าวหอม ที่วัยก็พอๆกับเด็กที่เป็นข่าว ก็ได้ออกมาเคลลื่อนไหวหลังเห็นข่าวดังกล่าว พร้อมข้อความระบุว่า "ขอประท้วงการที่เอาคนที่ไม่ใช่ครูมาดูเเลเด็กเเละทำร้าย เมื่อวานได้ดูคลิปเเล้วปวดใจมาก เรื่องนี้รัฐบาลสถาบันการศึกษาควรจะใส่ใจในการศึกษาสถาบันโรงเรียนทุกหนเเห่ง ถึงเป็นครูก็มีครูบางท่าน โรคจิตเเกล้งเด็กให้อดน้ำ ไม่ให้เข้าห้องน้ำ และลูกตั๊กเคยโดนเเบบนี้ที่โรงเรียนสาธิตพัฒนา ลูกตั๊กเคยโดนให้อั้นปัสสาวะเเละไม่ให้กินน้ำทั้งที่ขอเเล้ว เเละเเอบสั่งไม่ให้บอกเเม่ กรองข้อมูลใส่หัวเด็กว่าเดี๋ยวเเม่จะมาทำร้ายครู ยังมีครูโรคจิตเหล่านี้อยู่ในสถาบันโรงเรียนที่มีชื่อเสียง รบกวนช่วยกันตรวจสอบอย่าให้เรื่องนี้ผ่านไปเลยค่ะ #ครูบางคนจบครุศาสตร์เเต่ไม่ชอบเด็กก็เยอะ เเค่อยากสอนเเต่ไม่มีความรัก #อย่าปล่อยให้เเย่กว่านี้เลยค่ะ#โรงเรียนปีศาจ"
พร้อมคอมเม้นต์ต่อว่า “ตั๊กไม่ได้มาตรฐานสูงเเต่สำหรับโรงเรียนทุกโรงเรียนในไทยต้องดี เพราะอนาคตของชาติต้องมีสุขภาพจิตดี ด้วย ตรวจสอบเรื่อยๆค่ะ อย่าลืมก็เเล้วกัน ตรวจสอบเหมือนตรวจกระเป๋าตังค์อ่ะค่ะ เพราะเราต้องหามาจ่ายโรงเรียน”
จากนั้นก็มีผู้ปกครองที่มีลูกเรียนที่โรงเรียนสาธิตพัฒนาเข้ามาคอมเม้นต์เห็นต่าง พร้อมขึ้นแฮกแท็ก#saveสาธิตพัฒนา ว่า “ลูกเรียนที่ รร สาธิตพัฒนาค่ะ ที่ รร เน้นสอนเรื่องระเบียบวินัย และการรักษากติกาของห้อง ซึ่งมีเวลาให้เข้าห้องน้ำ เคยเจอปัญหาที่ลูกไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำ จึงต้องอธิบายให้ลูกฟัง ว่าแม้เราจะไม่รู้สึกปวด แต่ไม่ได้แปลว่า เราจะฉี่ไม่ออก เพราะกระเพาะปัสสาวะก็เหมือนแก้วน้ำ ถ้ายังไม่เต็ม ก็เหมือนจะไม่ปวด แต่มีน้ำอยู่ข้างใน ดังนั้น หากถึงเวลาที่ครูให้ดื่มน้ำ และไปเข้าห้องน้ำ ลูกมีหน้าที่ต้องทำตามนั้น เพื่อรักษาวินัยและกติกาของห้องเรียน #บางทีก็อยู่ที่พ่อแม่ #อย่าความคิดส่วนตัวมาเหมาเข่งค่ะ”
และ “1.”ถ้าอยากมีประชาธิปไตยก็ต้องให้ฟัง” แต่การลบ comment ที่คิดต่าง ประชาธิปไตย จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
2. วันนี้คุณบอกลูกคุณออกเอง แล้วเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนที่ ในคลิป พูดว่า โรงเรียนให้ไปลาออก คือ ไม่ใช่เรื่องจริง ?
3. เรื่องที่มาของโรงเรียน มีอยู่ในคู่มือนักเรียน และใน website โรงเรียนค่ะ
มูลนิธินวัตกรรมการศึกษา ได้ลงนามความร่วมมือกับคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2550 ถือเป็นกำเนิดโรงเรียนสาธิตพัฒนา ภายใต้โครงการบริการวิชาการ เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษา จัดการเรียนการสอนระดับประถมศึกษา และครอบคลุมถึงระดับปฐมวัย โดยเป็นไปตามข้อตกลงการช่วยเหลือทางวิชาการ 6 ด้าน ได้แก่
การจัดระบบบริหารโรงเรียน และระบบประกันคุณภาพ
การจัดทำหลักสูตร ระบบการจัดการเรียนการสอนและการนิเทศ
การกำหนดมาตรฐานบุคลากร และอัตราเงินเดือน
การรับนักเรียน
การคัดเลือกและเตรียมบุคลากร
การพัฒนาหลักสูตรและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
#savesatitpattana
#saveสาธิตพัฒนา
#satitpattanaissafe”
โดย ตั๊ก บงกช ได้ออกมาชี้แจ้งร่ายยาวว่า “โอ้วโห ผู้ปกครองที่หาหาทุนสมาชิก สมาคมเข้าโรงเรียนออกมาเเสดงความคิดเห็นเต็มเลย อย่าคิดมากค่ะ ใครอยากเข้าเข้าเลยค่ะ เจอกับตัวดีกว่าฟังใคร เหมือนครอบครัวตั๊ก หากเข้าเเล้วดี เเปลว่าเค้าเปลี่ยนตัวเอง #ลูกตั๊กออกเองค่ะ ไม่ได้ถูกให้ออกนะคะ หากเรื่องความลูกใช่ทุกอย่างต้องดี และโรงเรียนไม่ใช่เครือสาธิตมหาลัย เเต่สาธิตพัฒนาไม่ใช่เครือข่ายมหาวิทยาลัย เเค่ใช้ชื่อ สาธิต ค่ะ #อย่าคิดมาก เหรียญมี2ด้าน เเต่ด้านของครอบครัวเรา มีความรู้สึกเเย่กับโรงเรียนนี้ค่ะ #อยากมีประชาธิปไตยก็ต้องให้ฟังบ้าง หากไม่ยอมรับว่าเเย่เลย เเสดงว่าคุณไม่คิดเปลี่ยนเลย ดิฉันเป็นคนมีชื่อเสียง หากไม่พูดความจริงก็เสี่ยง ไม่ใช่เอาชื่อเสียงมาหาเสียง มันเป็นเเค่ความคิดเห็น”
ซึ่งดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เมื่อมีผู้ปกครองรายนึงเข้ามาคอมเม้นต์ในทำนอง สาวตั๊ก ลบคอมเม้นต์ดีๆออกเกี่ยวกับโรงเรียนสาธิตพัฒนา ด้วยข้อความระบุว่า เสียดายจังเลยนะคะ คุณตั๊กไล่ลบ comment ดีๆ สำหรับโรงเรียนสาธิตพัฒนาทิ้งหมดเลย ตอนนี้เหลือแต่ comment ด้านลบอย่างเดียว จริงๆ ไม่น่าลบค่ะเพราะว่าประชาชนจะได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของโรงเรียน และให้ประชาชนคนที่เข้าอ่านเค้าพิจารณาเองค่ะ #savesatitpattana" โโย สาวตั๊ก ก็ตอบทันทีว่า
"ตั๊กลบคอมเม้นที่ไม่สุภาพค่ะ"
และล่าสุด สาวตั๊ก ได้ออกมาเคลื่อนไหววอนนักข่าวลบรูปคู่กับลูกชาย น้องข้าวหอม เพราะเป็นชุดเคนรื่องแบบโรงเรียนใหม่ อาจส่งผลกระทบได้ พร้อมแคปชั่นว่า "ภาพ รูปที่2เลื่อนไป เป็นเครื่องเเบบนักเรียนโรงเรียนใหม่ค่ะ ทางตั๊กเกิดความวิตกกังวลว่าจะทำให้โรงเรียนใหม่น้อง เป็นที่เข้าใจผิดของประชาชนบุคคลทั่วไป พิกัดโรงเรียนใหม่อยู่ข้างบนเเล้วนะคะ น้องมีความสุขมากค่ะ
<ถึงผู้ที่ถามว่าน้องย้ายไปโรงเรียนไหน> กราบขอบพระคุณค่ะ"