- 26 ต.ค. 2563
ได้กำลังใจดีจากทั้งครอบครัวและคนรอบข้าง รวมทั้งแฟนๆเลยทำให้ ดาราสาว นุ๊ก สุทธิดา ยิ้มได้ แม้ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์ และต้องเข้าพักรักษาตัวนานหลายสัปดาห์ หลังจากพักฟื้นจนร่างกายแข็งแรงจนตอนนี้ผลตรวจล่าสุดไม่พบเชื้อมะเร็งแล้ว เจ้าตัวได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีกำลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมต่อสู้กับโรคมะเร็ง ซึ่ง นุ๊ก และครอบครัว มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เปิดใจว่าไม่เคยคิดท้อเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่กลับรู้สึกโชคดีที่ได้เป็น พร้อมเผยความในใจต่อหน้าสามี
ได้กำลังใจดีจากทั้งครอบครัวและคนรอบข้าง รวมทั้งแฟนๆเลยทำให้ ดาราสาว นุ๊ก สุทธิดา ยิ้มได้ แม้ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์ และต้องเข้าพักรักษาตัวนานหลายสัปดาห์ หลังจากพักฟื้นจนร่างกายแข็งแรงจนตอนนี้ผลตรวจล่าสุดไม่พบเชื้อมะเร็งแล้ว เจ้าตัวได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีกำลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมต่อสู้กับโรคมะเร็ง ซึ่ง นุ๊ก และครอบครัว มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เปิดใจว่าไม่เคยคิดท้อเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่กลับรู้สึกโชคดีที่ได้เป็น พร้อมเผยความในใจต่อหน้าสามี
เกิดความเปลี่ยนในชีวิตขึ้นเมื่อตรวจรู้ว่าเป็น มะเร็ง มันมีความผิดปกติอะไรที่ทำให้เราต้องไปตรวจ?
นุ๊ก สุทธิดา : ย้อนกลับไป 2-3 ปีก่อนหน้านี้ คือ นุ๊ก จะขับถ่ายตรงเวลาหกโมงเช้าเราต้องขับถ่ายเวลานี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุเรา 39-40 ปีเนี่ยค่ะ ก็เริ่มช้าไป 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง เราก็เริ่มรู้สึกมันผิดปกติว่าต้องมีอะไรในระบบร่างกายเราผิดปกติเลยไปหาคุณหมอไปส่องกล้องก็หาไม่เจอ เพราะเราคิดว่าเกี่ยวกับลำไส้พอหาไม่เจอเราเลยสรุปว่าเพราะเราแก่เลยเปลี่ยนแปลงไปเอง จนมาคลำเจอก้อนเป็นเกี่ยวกับไทรอยด์พอไปตรวจ
นุ๊ก สุทธิดา : คุณหมอไม่ได้บอกเราด้วยนะคะ ว่าเราเป็น มะเร็ง เรารู้ด้วยตัวเราเอง จากอาการของ คุณหมอ เพราะตอนแรกที่เจอเราทักทายเราแบบร่าเริงมาก แต่พอตรวจๆไปก็เริ่มนิ่งลงเรื่อยๆ เพราะเราได้ยินข่าวว่าคุณหมอเก่งมากถึงขั้นสามารถประเมินได้ตั้งแต่แรกเห็นเลยถึง 80 เปอร์เซ็นต์ว่าใช่ไม่ใช่ ทีนี้พอเราเห็นคุณหมอนิ่งเราเริ่มใจไม่ดี แต่ยังยิ้มสู้ แล้วก็พูดคุยกับคุณหมอ คุณหมอทานข้าวยังคะ ถ้าคนซีเรียสเขาจะไม่ตอบ เขาก็ไม่ตอบ ใจตอนนั้นคือ แบบค่อนข้างสั่น ใจเราก็ภาวนาว่าอย่าให้ใช่เลย เราก็เล่นใหญ่ใส่คุณหมอแบบไม่เครียด ถามคุณครูหมอไปตรงๆว่า ใช่ ใช่ไหมคะ คุณหมอ คุณหมอบอกว่าหมอยังสรุปให้ไม่ได้นะครับ ต้องตัดชิ้นเนื้อไปตรวจครับ ประโยคนั้นเลยค่ะ เราคิดว่าต้องใช่แน่นอน อันนั้นเราคิดเลยว่าต้องเป็นข่าวร้ายแน่นอน
ความรู้สึกของเราตอนนั้นเป็นยังไง?
นุ๊ก สุทธิดา : เหมือนตอนนั้นทุกอย่างมันเงียบมากค่ะ เหมือนเราถูกทิ้งไว้กลางทะเลมันเคว้งมากเลยแล้วเรารู้สึกว่ามะเร็งเท่ากับตาย อยู่เหมือนมีคนมาชี้หน้าเราว่าเธอกำลังจะตาย พอเราได้ยินประโยคนั้นปุ๊บ คำถามความเป็นห่วงร้อยแปดมันขึ้นมา ลูกจะอยู่ยังไงทุกอย่างมาเร็วมากคำถามเป็นร้อยเลย ในช่วงเวลาแค่เราดีดนิ้ว จนสุดท้ายเรามองตัวเองว่าเรากำลังตกใจ เราจะทำอะไรไม่ได้ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็บอกกับตัวเอง นุ๊กหยุดๆ แล้วหายใจลึกๆ ช่วงคิดตอนนั้นคือ คุณหมอ ก็กำลังส่องกล้องอยู่ด้วย
แล้วในระหว่างที่คุณหมอตรวจเราอยู่ตอนนั้นคิดแพลนอะไรไปถึงไหน?
นุ๊ก สุทธิดา : เริ่มบอกตัวเองคุยกับตัวเองว่าทีละคำถาม ฉันจะตอบตัวเองทีละคำถาม เราก็สูดหายใจลึกๆแล้วถามตัวเองอะไรที่กลัวที่สุดถ้าตาย ลูก ค่อยๆจัด อดัม จะอยู่ยังไงเรื่องระบบการเงินถ้าเราตายภาระต้องไปอยู่ที่พ่อแม่เรา พ่อแม่เราอายุเยอะแล้วต้องมานั่งดูแลเด็กสามคน เราเริ่มจากการจัดระบบการเงินก่อนเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ลำบาก เรื่องลูกต้องกลับไปคุยกับสามีลูกจะต้องอยู่เมืองไทย พี่กับน้องต้องอยู่ด้วยกัน แพลนมาจนถึงเจ็บไหม เราจะจากไปทรมานไหม เราก็ค่อยๆปลอบตัวเองว่าจริงๆเป็นเรื่องที่ดีนะที่เราได้ตายด้วยมะเร็ง คือเราไม่ได้คิดเลยถึงเรื่องหายในตอนนั้น เพราะเราตอบในสิ่งที่มันกลัวที่สุดและอยู่ตรงหน้า พอเราได้คำตอบทุกอย่างหมดแล้วเราก็โอเคกลับไปแล้วไปทำตามแผนที่วางไว้ เรารู้สึกว่าขีวิตทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก
เมื่อเป็นแล้วเราก็ต้องบอกคนในครอบครัว ตอนนถ้ามีวิธีการบอกยังไง?
นุ๊ก สุทธิดา : ก็ไม่ได้คิดว่าทำให้มันยากเลยค่ะ เหมือนกับรีเซ็ตใหม่บอกว่าเราเป็นหวัด คือ บอกง่ายๆเลยค่ะ กลับบ้านไปเดินผ่านบอกสามีก่อนสั้นๆแล้วเดินไปบอกลูกก็สั้นๆ ว่าเดือนหน้าแม่จะต้องไปตัดนะ แม่เป็นมะเร็งนะ แล้วปิ๊ปโป้ เขาก็ ครับ แล้วเขาก็เดินกลับมาถามเราใหม่แม่ว่ายังไงนะ แม่เป็นมะเร็งเหรอ ส่วน ปาแปง เขาตอบสั้นๆ ครับ
ปาแปง : เพราะก่อนที่คุณแม่จะบอกคือ รู้จากคุณยายแล้วครับ คุณยายบอกผมก่อนแล้ว ไม่ตกใจครับ ธรรมชาติครับ
นุ๊ก สุทธิดา : เราบอกกับคุณแม่ จริงๆบอกคร่าวๆกับคุณแม่ในตอนนั้น
แล้วบอกกับคุณสามีเขาว่ายังไง?
นุ๊ก สุทธิดา : ต้องบอกว่าเรามองข้ามเขาไปเลยตอนนั้น ตอนที่รู้เรื่องเสร็จกลับบ้านใจของเราคือต้องทำอะไรเพื่อลูกบ้าง เพราะฉันนั้นเราลืมให้ความสำคัญกับเขา เปิดประตูบ้านมาเราเจอเขาเราบอกเขาว่า ยูไอเป็นมะเร็งนะ แล้วก็เดินผ่านเขาไปเลยแล้วไปเล่นกับลูกไปร้องไห้กับลูก สามีโกรธมาก คิดว่าโกรธ แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้พูดออกมานะคะ แล้วพอได้คุยเขาก็บอกว่าคนอะไรไปตรวจวันแรกแล้วรู้ว่าเป็นมันไม่มีการเจาะ ไปเข้าห้องแล็ปเหรอ ทำไมเธอมั่นใจว่าเป็นมะเร็ง ที่เขาโกรธเราเพราะว่าน้องสาวเขาจะแต่งงานแล้วเขาคิดว่าเราไม่อยากให้เขากลับบ้านเลยแกล้งป่วย
แล้วทุกอย่างมาเคลียร์กันตอนไหน?
นุ๊ก สุทธิดา : ตอนผ่าแล้วเอาออกมา เพราะตอนแรดเขาคิดว่าเป็นเนื้องอกอะไรเล็กๆน้อยๆเพราะเราก็ทำทุกอย่างง่ายมากเพราะตอนไปตรวจก็ไปคนเดียว ขับไปผ่าก็ขับรถมาคนเดียว ขากลับผ่าเสร็จก็ขับรถกลับคนเดียว ตอนวันผ่าจะมีคุณแม่ไปเฝ้าบ้าง ซึ่งหลังจากที่เขารู้ว่าเราเป็นมะเร็งจริงๆ อารมณ์ที่ขุ่นๆที่เขาเป็นอยู่ก็หายไปหมดเลย เขาก็พาลูกมาเยี่ยมบ้าง เราเลยได้คุยกันในตอนนั้น เราก็ถามว่าไม่เชื่อเหรอ เขาก็บอกว่ามะเร็งใครไปตรวจเจอกันง่ายขนาดนั้น
นุ๊ก ดูเป็นคนเข้มแข็งตลอดเวลาและต้องแข็งแกร่งที่สุดมีเวลาไหนไหมที่ร้องไห้?
นุ๊ก สุทธิดา : ตอนที่ตรวจเสร็จแล้วกลับบ้านค่ะ แล้วเห็นอดัม เราเข้าไปเล่นกับเขาแล้วน้ำตามันไหลออกมาเอง อย่าง ปิ๊ปโป้ กับ ปาแปง ยังไงก็รักนะคะ ลูกเรา แต่เพราะอดัม เด็กน้อยจริงๆ เพราะขนาดกับคำว่า แม่ตาย เขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาตื่นมาแล้วไม่เจอเราเขาจะเป็นยังไง
แล้วปิ๊ปโป้ กับ ปาแปง รู้จักและเข้าใจคำว่าคำว่า มะเร็ง มากน้อยแค่ไหน?
ปาแปง : ผมรู้จักดีอยู่แล้วครับ เพราะผมเป็น Vagen ผมยังบอกกับหม่าม๊าให้ทานแต่เพราะแม่ไม่ยอมทาน
ปิ๊ปโป้ : ก็อยากให้คุณแม่หาย
นุ๊กกี้ สุทธิดา : จริงๆนุ๊ก ว่าทั้งปิ๊ปโป้ และ ปาแปง เขาก็มีความรู้สึกนะคะ แต่เพราะเด็กวัยนี้ กำลังโตเขาจะไม่ชอบโชว์อารมณ์ เพราะความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะมากกับสองคนนี้ ดื้อน้อยลง บางอย่างก็ไม่อยากทำตามแม่ แต่พอแม่ไม่สบายทุกอย่างดูแบบทำให้แม่ได้ เลยกลายเป็นข้อดี
ทำไมรู้สึกได้เป็น มะเร็ง แล้วโชคดี?
นุ๊ก สุทธิดา : เรารู้สึกว่าต้องขอบคุณมันจริงๆวันที่ นุ๊ก ทำความเข้าใจกับมันเรารู้สึกว่าโชคดีมากๆที่ได้เป็นมะเร็งได้เป็นโรคร้ายที่ไม่ได้ถึงกับคร่าชีวิตเราไป ณ วันนั้น แต่ทำให้เราเรียนรู้ว่ามนุษย์เรามันต้องอยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจเราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดแก่เจ็บตายจะต้องมี แต่วันที่เราได้รับรู้ถึงความตายว่ามันยังอยู่ในลมหายใจเรา ให้ได้รู้ว่าเรากำลังจะตายเราต้องขอบคุณที่มาเตือนเราตรงนี้ แต่เราก็รู้สึกผิดกับสามีที่เรามองข้ามเขาไป
นุ๊ก สุทธิดา : คือตอนนั้นเราเอาใจไปอยู่ที่ลูกมากกว่าว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อลูกเราบ้าง เหมือนวันที่เราเดินไปบอกเขาเราพูดแค่ว่า “เธอฉันเป็นมะเร็งนะ” แล้วก็เดินหันไปเลยไปอยู่กับลูกเลย ซึ่งหลังจากที่เราบอกเขาเราก็ไม่ค่อยได้พูดได้คุยกันเลยเพราะเราไม่รู้ว่าเขางอนเรา แต่เรารู้แค่ว่ามันแปลกๆในคำพูดที่มันบาดใจ อย่างเช่น ยูจะร้องทำไมยูยังไม่ตายสักหน่อย คือ ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกบาดใจเรามากแต่เรารู้สึกแปลกๆว่าเป็นอะไร ในใจคิดอีกว่าถ้าคนไม่รักกันก็คงเป็นแบบนี้ เพราะเราคิดว่าเราใกล้ตายแล้วก็ไปๆ..ซะ หมดแค่แล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้คิดต่อไม่ได้หาคำตอบตรงนั้น
แล้วความตั้งใจของเขาที่เขาคิดว่าอยากจะกลับบ้าน สามีอยากกลับอยู่ไหมตอนที่เราป่วย?
นุ๊ก สุทธิดา : เราก็ถามลึกๆก็เสียใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรมันเป็นความต้องการของเขาเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเหนี่ยวรั้ง ณ ตอนนั้น แล้วคือมันไม่มีเวลาให้น้อยใจเพราะลูกเยอะแล้วเราเตรียมการให้ลูกเราเยอะเลย
ตอนนั้นคือไม่ได้มีเรื่องดราม่ากับความรักหน่วยนี้เลย กับเขาเลยมีแต่ครอบครัว?
นุ๊ก สุธิดา : ใช่ค่ะ เพราะนุ๊กโชคดีที่สามี นุ๊ก เด็กด้วยเราเลยไม่ห่วง เพราะเราคิดว่าถ้าเราตายเขาต้องแต่งงานใหม่อยู่แล้ว เราก็ถามเขานะคะ เรื่องที่เขาจะกลับบ้านไหม แต่พอเขารู้ว่าเราป่วยจริงๆเขาบอกเราว่าจะกลับได้ยังไงต้องดูแล ต้องช่วยกันดูแลลูก เขากลับไม่ได้หรอกเพราะยูไม่มีใครช่วยดู
เห็นว่าสามีได้กลับไปที่บ้านที่ มาเลเซีย น้อยมาก?
นุ๊ก สุทธิดา : ไม่ค่อยได้กลับเพราะพอเราแต่งงานกันแล้ว เปิดยิม แล้วคือที่ยิมคือมีเขาคนเดียวที่ขายได้ มันเลยกลายเป็นภาระของเขาที่เขาจะต้องอยู่ แต่ว่าเขาไม่ได้มองถึงเรื่องตรงนี้ แต่เขามีความน้อยใจว่าเรากีดกันไม่ให้เขากลับบ้าน เราคงไม่ขอบครอบครัวเขาครอบครัวเขาจน เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยแล้วเขาอาจจะน้อยใจแล้วใันฝังอยู่ตลอด 2 ปี แล้วอยู่ๆเราก็ไปบอกเขาว่าเราเป็นมะเร็ง แต่พอเราได้คุยกับเขาสองคนอย่างจริงๆจัง นุ๊ก เข้าใจเขานะคะ ณ วันนี้ สุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน เพราะว่าเขาต้องกลับมาเลเซีย แล้วไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ เพราะพาสสปอร์ตของเขาหมดอายุตั้งแต่ โควิด แล้วทำอะไรไม่ได้เขาไม่ให้เดินทางแล้วตอนนี้รัฐบาลเพิ่งออกกฎหมายว่ามีสิทธิ์ถึงวันที่ 26 จะต้องออกไปไม่งั้นติดแบล็กลิสต์เขาจะต้องทำ VISA ที่โน้นซึ่งกระบวนการทำวีซ่าขนาดอยู่ในเมืองไทยจะต้อง 3 เดือนขึ้นไป แล้วไม่รู้ว่าเกิดการระบาดแล้วจะได้กลับเข้ามาอีกไหม แต่สุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากกันแต่เขาก็ยังมีความฝังใจนะคะ คือ เขารู้ก่อนอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เขาจะต้องกลับ แต่เขาไม่กล้าบอกเราเพราะเขากลัวว่าเราจะงอนไม่ให้เขากลับแต่เราก็ไม่ได้แก้ตัวนะคะ เราก็แสดงให้เขาเห็นดีกว่าว่าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ
อีกหนึ่งคนที่ นุ๊ก พูดถึงเสมอๆและเป็นกองหนุนในทุกๆเรื่องนั่นก็คือ คุณแม่ อยากจะพูดอะไรถึงท่านบ้าง?
นุ๊ก สุทธิดา : แม่เป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆแล้วก็เป็นคนที่ดูแล นุ๊ก ตลอดเวลาที่ป่วย เวลาที่เราป่วยเวลาที่เราเจ็บเราจะนึกถึงคุณแม่เสมอ วันนี้ นุ๊ก อยากจะขอบพระคุณทั้งคุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ ที่เลี้ยงเรามาอย่างดี ขอบตุณที่เข้มแข็งดูแลและช่วยเหลือเราตลอดเวลา เขาไม่เคยทิ้งเราไปไหน (น้ำตาคลอ) ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ
และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ นุ๊ก เสมอคือ ครอบครัว คุณสามี และลูกชาย?
นุ๊ก สุทธิดา : ขอบคุณมากๆนะคะที่เคยซัปพอร์ต นุ๊ก มาตลอดในทุกๆเรื่องในชีวิตนะคะ แล้วก็ … ได้โปรดกลับมานะ (เขิน)
ฮากีม (สามีนุ๊ก) : ผมรักคุณทั้งหมดชีวิตของผมตั้งแต่วันแรกจนยถึงตอนนี้ไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะเมื่อ อดัม ปาแปง ปิ๊ปโป้ โตขึ้นเราก็ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นทีมแบบนี้ตลอดไป
>> Hot Sale ลาซาด้า ยกขบวนสินค้า ลดกระหน่ำทุกรายการ สูงสุด 90% <<