- 01 ก.ค. 2564
สุเทพ สีใส เปิดใจผ่านรายการ ต้มยำอมรินทร์ ไม่มีงานในวงการบันเทิงเข้ามา ทำให้รายได้หายไปเกือบครึ่งปีแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยท้อ ขอสู้ทุกทาง
สุเทพ : จากเดิมเป็นอาชีพเสริมมากกว่า เมื่อประมาณ 2-3 ปี ก่อน แต่นี่ก็เข้าปีที่ 4 แล้วครับ พอเราออกมาแล้ว มันขายดีมากๆ จนกลายเป็นรายได้หลักของบ้านเราเลย ซึ่งมันก็เกินคาดที่เราได้ตั้งเป้าไว้ มันก็เป็นรสชาติชีวิตอีกแบบหนึ่ง จากที่เราเคยเป็นลูกค้า แต่พอมาเป็นพ่อค้าแม่ค้า คืออีกแบบหนึ่งเลย เราต้องไปสัมผัสกับลูกค้าสารพัดรูปแบบมาก แต่เราก็ทำใจเพราะเราเป็นคนที่ขายของใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่พอนานไปๆ ทำให้รู้ว่าเป็นธรรมชาติ เป็นปกติของการค้าขาย
ป๊อบ : ด้วยความคาดหวังของเราตอนแรกด้วยค่ะ ว่าเราคาดหวังว่าเขาชิมแล้วเขาต้องซื้อเราเลย ต้องเรียนรู้ไปกับการค้าขาย เพราะบางครั้งที่เขาชิม ไม่ใช่เขาไม่กลับมาซื้อนะคะ เพราะว่าบางคนเขาก็กลับมาซื้อทีหลัง
ถาม ณ ตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่านี่คือรายได้หลักของครอบครัว เพราะไม่ได้มีรายได้จากงานในวงการบันเทิงมานานแค่ไหน
สุเทพ : ประมาณตั้งแต่มกราคมมาแล้วครับ หนังที่จะปิดกล้องก็เลื่อน แล้วอีกเรื่องกำลังจะเปิดกล้องก็เลื่อนอีก จนพับโปรเจกต์ไป ส่วนงานต่างๆ ที่ว่าจะมี ก็เลื่อนเหมือนกัน จนพับโปรเจกต์ไปเรียบร้อย อันนี้คือรอบสองนะครับ แต่รอบสามนี้คือหนักเลยอย่างหนังคุณหม่ำที่กำลังถ่ายทำอยู่ ก็ยังไม่ได้ถ่ายต่อเลย ซึ่งก็ต้องบอกว่าเรายังโชคดีที่เรายังมีอีกอาชีพที่เราสามารถเลี้ยงครอบครัว จนกลายเป็นรายได้หลักของเรา
ถาม เห็นว่าทั้งคู่เคยคิดที่จะขยายกิจการด้วยใช่ไหม
ป๊อบ : ใช่ค่ะ ป๊อบคิดเอง เพราะว่าพอเราเห็นว่ามันไปได้ เราก็เลยคิดที่จะขยาย จะเริ่มขออย. อยากจะทำเป็นโรงงานผลิตเลย เพราะว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้เป็นโฮมเมด แต่พอออเดอร์เยอะ แรงของเราไม่พอ ถ้าเราทำไม่ทัน เราก็จะเสียเครดิต แต่โชคดีมากพี่เทพบอกว่าค่อยๆ โต เพราะว่าเราทำโรงงานเราต้องลงทุนมาก โชคดีที่ตัดสินใจยังไม่เปิดโรงงาน แต่ในอนาคตถ้าสถานการณ์กลับมาปกติ เราก็คิดว่าอาจจะเปิดค่ะ
ถาม แต่จริงๆ แล้วต้องบอกเลยว่า กะปิโหว่สูตรโบราณ แล้วยิ่งบอกว่าเป็นโฮมเมดรู้สึกอร่อยขึ้นมาอีก สูตรนี้นำมาจากไหน
ป๊อบ : จากคุณแม่ของป๊อบเองค่ะ ซึ่งสูตรนี้ไม่จำเป็นต้องทานกับมะม่วงเท่านั้นนะคะ สามารถทานได้กับผลไม้ทุกชนิดเลยค่ะ เพียงแต่ว่าที่เราเอาเป็นมะม่วงเบา เพราะคนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ทาน เป็นมะม่วงของทางภาคใต้ เราก็เลยเอาตัวมะม่วงมาช่วยเป็นการตลาดเสริม เพิ่มเติมกะปิของเราไปอีกทางหนึ่งด้วย
สุเทพ : ซึ่งกะปิของเรา สูตรโบราณแท้ ไม่เค็ม ไม่คาว ไม่เผ็ด เป็นกะปิจากคลองโคน ใช้เวลาหมักหนึ่งปีครึ่ง เอามาผสมผสานกับน้ำตาลมะพร้าวแท้ และเราจะไม่ใส่น้ำตาลทรายเลย ไม่ใส่สารกันบูด ไม่ใส่ผงชูรส สามารถเก็บแบบไม่ใส่ตู้เย็นก็ได้หรือใส่ตู้เย็นก็ได้สามารถเก็บได้ถึง 5-6 เดือน ราคาที่สั่งจะอยู่ในไลน์นะครับ @POPVERS49 แต่เรายังมีอีกตัวนะครับ มะม่วงเบาแท้แช่อิ่ม ของเราจะไม่ใส่สารกรอบเลย จะเป็นแบบธรรมชาติเลย
ป๊อบ : มีลูกค้าของเราที่ติดใจแล้วเขาอยู่ที่ออสเตรเลีย เขาก็รับกะปิของเราไปขายที่โน่น กึ่งๆ เป็นตัวแทนนำไปขาย แล้วก็มีคนที่สั่งกับเขา ก็ไลน์กลับมาสั่งที่เรา
สุเทพ : ซึ่งในช่วงโควิดนี้ เราก็ยังเอากะปิของเราไปเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ 14 โรงพยาบาล ปอกมะม่วงแล้วเราก็แพ็คกันสองคน เพื่อนำไปให้โรงพยาบาลละ 100 ชุด เพราะว่าเราไม่มีสิ่งไหนที่ช่วยได้ แต่เราพอทำสิ่งนี้ที่ช่วยได้เพื่อเป็นกำลังใจเราก็ทำเต็มที่
ถาม ต้องบอกว่าเป็นน้ำใจที่งดงามมาก เพราะว่าเขาก็คือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นกัน ไม่มีงานเลยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีน้ำใจให้กับสังคม
สุเทพ : จากวันนั้นถึงวันนี้ รายการต้มยำอมรินทร์คืองานแรกเลยครับ ทุกวันนี้ก็เอาเงินเก็บที่เก็บมามาใช้แล้วครับ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็คือเงินเก่าที่เราเคยเก็บมาเมื่อก่อน เพราะว่ารายได้ไม่มีทางไหนเข้ามาเลย แต่ก็จะมีตรงนี้ที่ขายของได้ เข้ามาช่วยได้บ้าง แต่ถ้าถามว่าเป็นหมื่นเป็นแสนขนาดนั้นไหม ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น แต่ก็ยังคือรายได้บ้าง
ถาม เห็นว่าในช่วงแบบนี้มีโปรโมชั่นลดค่าตัวด้วยเหรอ
สุเทพ : มีรายการต่างๆ ที่เสนอมา แล้วเขาก็คุยกับเราว่าขนาดนี้ได้ไหม เท่านี้ได้หรือเปล่า เราก็ได้ เพราะว่ามันจำเป็นต้องเอา ถ้าเราไม่เอางานไว้ เขาก็จะไปเลือกคนอื่น เดี๋ยวนี้มีนักแสดงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาให้เขาเลือกมากมาย
ถาม แต่ในเรื่องร้ายๆ ที่มาจากโควิดแต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ข้อหนึ่ง เรียกได้ว่าเพิ่งจะมีเวลาอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูกได้เต็มๆเวลาก็ช่วงนี้ เพราะ 20 ปีที่ผ่านมาคือทำงานเยอะมากจนไม่มีเวลา
สุเทพ : ใช่ครับ แต่ก็จะอยู่กับลูกได้เต็มๆ เวลา ได้ประมาณหนึ่ง แต่เราก็ขอให้โควิดมันไปเร็วๆ เถอะ เราต้องช่วยกันการ์ดอย่าตกเท่านั้นเองครับ
ถาม กี่ปีแล้วที่แต่งงานกันมา
สุเทพ : เข้าปีที่ 23 แล้วครับ
ป๊อบ : ถ้าถามว่าย้อนกลับไปวันที่พี่เทพเข้ามาจีบเรา เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยค่ะ ไม่ได้คิดที่จะเอามาเป็นแฟน
สุเทพ : ตอนนั้นที่เราจีบเขาตาม ตื้อนานมาก การที่จะชวนเขาออกมาทานข้าว เราใช้เวลาเป็นปีเป็นเดือนเลยกว่าจะออกมาได้ กว่าเขาจะหลงคารมเรา เพราะสำหรับเขาคือคนพิเศษของเราจริงๆ เราขยันโทรศัพท์หาเขามากๆ แต่อย่างผู้หญิงคนอื่น เราก็เจอเขาแค่ตามคาเฟ่ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แค่เจอๆ คุยๆ แล้วก็หายไป แต่สำหรับป๊อบ ผมโทรศัพท์หาเขาทุกวัน สบายดีไหม ทานข้าวหรือยัง เขาไปทำงานก่อนนะ
ป๊อบ : เราก็รับสายเขาทุกวันค่ะ เพราะว่าเป็นโทรศัพท์ที่ห้องไง มันไม่รู้ เขาก็จะโทรมาทุกวัน แต่คุยแบบสั้นๆ ไม่ได้ยาวมากเหมือนแค่รายงานเราว่าเขาทำอะไรยังไง ถามเราว่าเราเป็นยังไง สบายดีไหม สั้นๆ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าทำไมต้องโทรมาบอกเราไม่ได้คุยอะไรยาวมาก ไม่ได้จีบเรา ถามว่ามีรำคาญไหมแรกๆ มีบ้างค่ะ แต่เพราะว่าเขาคุยไม่นานไงคะ ถ้าลองเขามาจีบแล้วคุยนานๆ บอกตรงเราคงไม่คุยด้วย
สุเทพ : เราคุยวันละนิดวันละหน่อย ที่ผมไม่คุยยาว เพราะอะไรรู้ไหม เปลืองค่าโทรศัพท์ (หัวเราะ)
ป๊อบ : ที่เราไม่ได้คิดอะไรตั้งแต่แรก เพราะว่าตลกเมื่อก่อนขึ้นชื่อมากเรื่องความเจ้าชู้ และเขาค่อนข้างจะงานเยอะ
ถาม ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปตอนไหน ทั้งที่ไม่เคยสนใจในตัวของเขาเลย
สุเทพ : เมื่อก่อนนี้เราก็จะมีไปถ่ายรายการตามสตูดิโอต่างๆ เราก็อยากให้เขาได้เห็นว่าเราทำอะไรบ้างวันๆ เราก็เลยชวนเขาออกมาก่อน เพราะถ้าออกมาครั้งแรกได้แล้ว ก็ต้องมีสองสามสี่ตามมาแน่นอน ครั้งแรกคือครั้งที่สำคัญที่สุด ตอนนั้นผมขับรถที่เปิดประทุน เป็นตลกที่ขับรถราคาล้านสอง แต่สิ่งสำคัญที่เราอยากให้เขารู้ที่สุด คือเราไม่ได้มีใครนะ แล้ววันนั้นฝนตก ออกมาทานข้าวด้วยกันวันนั้นฝนตกหนักมากเลย แล้วพอเราไปส่งเขา น้ำท่วมในซอย ถ้าเป็นคนอื่น เราคงถอยรถกลับไปแล้ว แต่เพราะว่าเขาเป็นคนที่เราชอบมาก เราก็ขับรถที่เรารักมาก ลุยน้ำไปส่งเขา นั่นคือครั้งแรกที่เขายอมออกมา แล้วพอมีครั้งแรก เราก็ชวนเขาไปดูเราถ่ายงาน ซึ่งพวกช่างแต่งหน้าหรือทีมงานเขาก็ไม่รู้นะครับว่าเขามานั่งรอผม นึกว่ามารอพระเอกคนไหน
ป๊อบ : ตอนนั้นเราก็เริ่มใจอ่อนแล้ว เพราะว่าเราคุยกับเขา เขาบอกเราทุกอย่าง ทุกที่ๆ เขาไป พอเขาชวนเราไปดูเขาทำงานเราก็ไป เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่รองาน ถามว่ามันก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ารักนะคะ แต่รู้สึกแค่เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ต่างอาชีพ เราก็ได้ไปเห็นการทำงานของเขาว่าทำยังไง กองเขาเป็นยังไง
สุเทพ : มันเป็นการจุดประกายนะครับ ที่เขาไปเห็นเราทำงาน เพราะเขาเริ่มเห็นใจ เริ่มสงสารผม เพราะความสงสารมันค่อยๆ กลับกลายมาเป็นความรัก
ถาม แล้วพี่สุเทพชอบแล้วก็รัก ถูกใจในตัวของผู้หญิงคนนี้เพราะอะไร นี่คือคำถามที่ตลอดชีวิตยังไม่เคยบอก ไม่เคยพูดเลย
สุเทพ : ที่รักผู้หญิงคนนี้ทั้ง 23 ปีที่อยู่ด้วยกันมา เรามั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้รักเราจริงๆ สงสารเราจริง ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้เราจริง ทั้งชีวิตของเขา เขาจากพ่อแม่ของเขาที่ส่งเขาเรียน เลี้ยงดูเขามา จากพ่อแม่มาอยู่กับเราทั้งชีวิต เราก็ตั้งใจแล้วที่จะดูแลเขาให้ดีที่สุด และเราก็ชอบนิสัยของเขา ก็คิดว่าอันนี้แหละเป็นความรักและความเข้าใจที่มอบให้ผู้หญิงคนนี้
ถาม แต่ทั้งคู่ที่รักกันแบบนี้ อยู่ด้วยกัน ที่ผ่านมาไม่เคยมีโมเมนท์ที่ขอกันเป็นแฟนเลย
สุเทพ : ไม่มีเลยครับ ไม่เคยขอเป็นแฟน เพราะเรามีความรู้สึกที่ดีที่เราเข้าใจกัน มันก็เลยไม่ได้มีวันครบรอบอะไร แต่เราก็อยู่ด้วยกันมาตลอดระยะเวลา 23 ปี เราอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ซึ่งความเข้าใจที่เราอยู่ด้วยกันมา มันข้ามคำว่าเป็นแฟนกันไหม แต่งงานกันนะมาแล้วครับ
ป๊อบ : แล้วมาถามว่ารักตอนไหน บอกไม่ได้เลยนะคะ มันเหมือนที่เราอยู่ด้วยกันมามันกลืนทุกอย่างไปหมดเลย มันกลายเป็นความผูกพันกันมากกว่า อย่างในบางเรื่อง บางครั้ง อายุเขาห่างจากเราเยอะมาก 15 ปีเลย บางครั้งเขาสอนเราโดยที่เขาไม่ได้พูด
ถาม เทียบกันแล้ว ใครที่หวานแล้วก็สวีทมากกว่ากัน
ป๊อบ : ไม่มีเลยค่ะ เมื่อก่อนจะเป็นพี่เทพ แต่หลังๆ คือไม่มีแล้ว
สุเทพ : พอหลังๆ ตั้งแต่มีลูก เขาก็ทำหน้าที่ดูลูก ผมก็ทำหน้าที่ทำงาน เพราะว่าความหวานที่เรามีให้กันมา 23 ปี ที่เราเติมให้กันมาเราก็คิดว่ามันเยอะมากพอแล้ว แต่ว่าก่อนไปทำงานทุกวัน เราก็จะหอมเขาแบบครบเซ็ตเลย แล้วก็ทำแบบนี้กับลูกด้วย
ป๊อบ : ซึ่งตัวของลูกสาวก็เป็นแบบเขาเหมือนกัน ถ้าจะออกไปเรียนคือ ถ้าพ่อยังนอนอยู่ เขาก็ต้องไปปลุก แล้วก็ไปหอมพ่อของเขาแบบนี้ตลอดทุกครั้ง
ถาม และอีกหนึ่งกฎเหล็ก ทุกสองทุ่มคือต้องโทรหา
ป๊อบ : 23 ปีแล้วที่ต้องทำแบบนี้ เพราะอย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เพราะตารางงานขอพี่เทพ ป๊อบรู้อยู่แล้วว่าไปไหน ที่ไหนยังไง แต่ยังไงคุณต้องโทรและยิ่งมีลูกแล้วด้วย ยิ่งต้องโทร ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะเป็นช่วงที่เขาถ่ายงาน เขาก็จะไลน์มาบอกว่าออกมาโทรไม่ได้นะ ต้องให้ถ่ายให้ครบก่อนนะ เราก็ถึงจะสบายใจ
ถาม หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือห่วงหล่อมาก ตั้งแตหน้าผม และการแต่งตัว
สุเทพ : ครั้งแรกที่ป๊อบไปเห็น เขายังงงเลยนะว่าห้องผมตอนนั้นยังอยู่อพาร์ตเมนต์ ทุกอย่างเนียบมาก ผมจะวางทุกอย่างไว้เป๊ะมาก เป็นระเบียบร้อยเรียบร้อยมากจนถึงทุกวันนี้ นิสัยผมคือไม่ว่าจะหยิบอะไรมาใช้ ผมจะวางไว้ที่เก่าหมดเลย
ป๊อบ : แล้วเขาตอนที่ยังไม่มีโควิด ต้องไปทำหน้า นวดหน้า ทำเล็บทุกอาทิตย์ (หัวเราะ)
สุเทพ : ถึงเราจะหน้าตาแบบนี้ เราก็ต้องยิ่งดูแลตัวเราเองให้ดี เพราะสภาพหน้าเราแย่อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ไปทำอะไรเลยเดี๋ยวมันจะแย่ไปกันใหญ่
ป๊อบ : ส่วนในเรื่องของการแต่งตัว ป๊อบเคยซื้อให้เขาตอนวันเกิด ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งเดียว พอเขาเปิดกล่องมา เขาบอกเราว่า ป๊อบ ต่อจากนี้ไปไม่ต้องซื้อแล้วนะ เขาบอกเขาไม่เอา
สุเทพ : ที่เราไม่ให้เขาซื้อ เพราะเราคิดว่าซื้อมาเราก็ไม่ได้ใช้ เพราะว่าเราจะชอบในแบบสไตล์ของเราที่เราซื้อเอง
ป๊อบ : แต่ต้องบอกก่อนนะคะ เขาไม่ได้ดูแลแค่ตัวเองนะคะ แต่เขายังดูแลเราด้วย พอเขาเห็นอะไรที่เหมาะกับเรา เขาก็จะซื้อมาให้เราเลย แล้วเขาก็จะบอกเราว่าอันใส่แล้วโอเค อันไหนใส่แล้วดูแก่ แต่ตั้งแต่มีลูก เขาปรับวิธีการใช้ชีวิตหมดเลย ไม่เคยซื้อของอะไรที่เป็นแบรนด์เนมเลย ลดลงไปเลย
สุเทพ : ที่เราหยุดใช้เพราะว่าเราเป็นเสาหลักของครอบครัว เราคิดว่าอย่างน้อยที่เราจะเอาเงินไปใช้ตรงนั้น เราเก็บเอาไว้เพื่อครอบครัวดีกว่า
ป๊อบ : และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเปลี่ยนไปคือเป็นคนที่ขี้น้อยใจ เรียกร้องความสนใจจากลูก เรียกว่าเข้าสู่วัยชราเลยก็ว่าได้ค่ะ (หัวเราะ) อันนี้ที่เขาเริ่มเป็นคือช่วงที่ลูกเริ่มเข้าวัยรุ่น จนเขาน้อยใจ เขาพูดมาเลยว่าลูกแม่สิ อะไรก็แม่ๆ เราเข้าใจแหละเพราะว่าเขาไม่ได้เข้าใกล้ลูกเลย มีช่วงที่เขาทำงานหนักมาก เขาเลยไม่ได้มีเวลาที่จะดูแลเลี้ยงดูลูก เราก็ทำทุกอย่างเพื่อประคองให้ลูกไม่ได้รู้สึกขาดความอบอุ่น เพราะว่าเขาไม่ได้เจอหน้าพ่อเขาเลย เราเลยต้องมีวิธีคุยกับลูกตลอด ถามว่าหนักไหม ก็หนักนะคะ จะทำให้ลูกเข้าใจ ซึ่งลูกก็จะมีวิธีการปฏิเสธในรูปแบบของเขา เมื่อทางโรงเรียนถามว่าน้องฟลุ๊ค งานนี้ คุณพ่อสามารถมางานที่โรงเรียนได้ไหม เพราะว่าน้องฟลุ๊ค เขาก็จะรู้ตารางคุณพ่อทั้งหมดเลย
สุเทพ : ติดลูกมากครับ แต่ตอนนี้เขาเรียนจบแล้ว แล้วเขาก็ได้เข้าทำงานเลย
ป๊อบ : เป็นศูนย์วิจัยโรคอุบัติใหม่ของสภากาชาดไทย แล้วเราก็เพิ่งรู้ตอนที่ลูกสาวมาบอกว่าเขาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ของคณะวิทยาศาสตร์ แต่พ่ออยากให้เรียนต่อ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าไม่ติดโควิด เขาได้ทุนปริญญาโทที่เกาหลีแล้ว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย แต่พอติดโควิดก็พลิกทุกอย่างเลย เราก็บอกลูกว่าฟลุ๊คก็เปลี่ยนวิธีการคิด อย่าไปเสียดาย เริ่มใหม่ เขาก็เลยตัดสินใจทำงานไปก่อน