- 02 ก.ค. 2564
"เมญ่า นนธวรรณ" เผยวางแผน เตรียมตัวย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพื่อลูก
ขึ้นแท่นสวมมงเป็นดาวในโลกออนไลน์ไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ คุณแม่สุดแซ่บอดีตนางงาม เมญ่า นนธวรรณ บรามาซ ที่กลายเป็นอีกคนที่ติดเทรนด์ฮิตเพราะเธอไอเดียเก๋ไก๋สุดบรรเจิดสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่เห็นจนกลายเป็นรายได้ที่ตามมา เมื่อได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เผยว่าทุกคลิปที่ตัวเองทำนั้นมาจากความตั้งใจของตัวเธอเองทั้งหมดแถมยังถ่ายเองตัดเองอีกต่างหาก พร้อมยังเผยแพลนในอนาคตที่วางไว้ว่าเตรียมตัวย้ายไปอยู่ต่างประเทศแบบจริงจังเพื่อลูก แต่ยังไม่ทิ้งวงการแน่นอน
ถาม อยู่ดีๆแข้าสู้วงการ TikTok ได้ยังไง ทำไมถึงเลือกที่จะมาอยู่เป็นดาวในวงการนี้ จะมาโดดเด่นในนี้
เมญ่า : เอาจริงๆมันไม่ได้เริ่มจากการตั้งใจจะโดดเด่นค่ะ แต่เป็นความไม่รู้จะทำอะไรในช่วงโควิดปีแรก มันเป็นความว่างของคนที่ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเลี้ยงลูกเราก็คิดว่าว่างๆ เราก็แก้เครียดยังไงเราก็มีความสามารถอยู่เล็กๆน้อยๆที่จะเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความสุขเป็นทางเดียวที่เราจะสามารถทำให้คนอื่นได้ เพราะว่าเราไม่ได้มีเงินเยอะก็เลยคิดว่าเปลี่ยนให้คนมีความสุขในการได้ดูคลิปเราดีกว่า เริ่มจากไม่ได้ทำอะไรมากจนมันมีบางคลิปที่เริ่มดังคงเป็นคลิปพี่เจ้ย ที่ดังแรกๆเลยซึ่งคลิปนั้นเราทุ่มเทมากถ่ายจนถั่วงอกในจานคือ ทานหมดเลย คือเราเป็นคนที่ทำอะไรเราจะทำให้สุดเพื่อให้คนดูสนุก แล้วเราก็ไปดูคลิปต้นฉบับเขาทำอะไร เขาพูดอะไรแล้วก็มานั่งคิดว่าเราจะทำอะไรให้มันคล้ายกับเขา หรือ ว่าเราจะทำอะไรตรงไหนให้มันเปลี่ยนให้มันต่างจากเขา เพราะว่าไม่ใช่ทุกอันเราจะมา Copy ให้เหมือนเขาทุกอันก็ไม่ได้ เหมือนหนึ่งคลิป หนึ่งคำพูดมันสามารถแสดงได้หลายแบบ เราจะเห็นได้ว่าครีเอเตอร์แต่ละคนก็จะมองภาพไม่เหมือนกัน
ถาม มีกำหนดไว้ว่าต่อหนึ่งอาทิตย์จะต้องทำคลิปออกมาให้ได้กี่อัน
เมญ่า : มีค่ะ ช่วงที่เราอยู่ที่ไทย มีลูกค้าเริ่มสนใจให้เรารีวิวเราก็ต้องมานั่งคิดจะขายยังไงให้ลูกค้า คุยกับลูกค้าว่าอยากได้แบบไหนคะ ก็คิดไอเดียแล้วไปเสนอแล้วเราก็ทำกราฟให้เขาดูต้องจริงจังเลย เราให้เขาเลือกว่าชอบแบบไหน อันไหนลูกค้าโอเคที่สุด ก็ต้องวางแผนว่าถ้าลูกค้าเป็นสีนี้เราก็ต้องไปหาชุดที่ใส่แล้วเขากับแบรนด์ของเขา ส่วนเวลาถ่าย เมญ่า ก็ไม่ได้มีทีมหรือว่าอะไรค่ะ คนเดียวเลยค่ะ เราก็ตั้งกล้องเอาค่ะ แล้วก็ตัดต่อเอาค่ะ เหมือนบางคลิปเรามีไอเดียว่าอยากจะแต่งตัวแบบนี้ แต่งตัวชุดไทย เราก็ต้องไปประสานหาชุดไทย แต่งหน้าทำผมเอง แล้วให้คนที่บ้านถ่ายให้ค่ะ
ถาม จะมีบางคนว่าทำแบบนี้ไร้สาระ เปล่าประโยชน์เปลืองเวลา แต่บางคนไม่รู้นะว่าจริงๆแล้วงานแบบนี้คือ เป็นตัวที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้นะ มาอัพเดทกันต่อกับคุณลูกตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วเอ่ย
เมญ่า : ตอนนี้ 2 ขวบ 9 เดือนแล้วค่ะ ตอนนี้ถ้าถามว่าแฮปปี้กับชีวิตระดับไหน ก็ระดับหนึ่งนะคะ ด้วยความที่อยู่ไทยด้วย ตอนที่อยู่สเปน เราก็จะมีความอยากหลายอย่างที่แบบว่าทำไม่ได้คิดถึงเพื่อน อยากจะไปกินอันนี้ ก็ไปไม่ได้ ทำไม่ได้ ซึ่งก่อนที่เราจะกลับมาไทยเราก็จะจดไว้เลยว่าเราอยากจะทานอะไร
ถาม แปลว่าส่วนมากตอนนี้คือ ไปมาระหว่างไทยกับสเปน แล้วเราใช้หลักอะไรว่าตอนนี้เราจะอยู่ที่ไหน
เมญ่า : มันแล้วแต่สิ่งแวดล้อมมากกว่าค่ะ ตอนนั้นที่เลือกจะกลับมาที่ไทยเพราะว่าที่ไทยสงบกว่าในเรื่องของโควิด ตอนนั้นก็ไม่ค่อยจะมีเคสแล้ว แล้วบ้านโน้นวันละ 3-4 หมื่นคน เพราะฉะนั้นเราเลยคิดว่าเรากลับมาอยู่ที่ไทยดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของลูกด้วย เราก็ไม่กล้าพาเขาออกไปไหนเลย
ถาม อีกอันหนึ่งซึ่งแปลกก็คือ เวลาที่ไปอยู่ไกลบ้านไกลเมืองเวลาที่มีคนโทรไปหาเราน่าจะดีใจ แต่ เมญ่า กลับไม่ชอบเลยเวลาที่มีโทรศัพท์จากที่บ้านโทรไปหา
เมญ่า : คือ ถ้าเป็นเพื่อนโทรมารีบรับเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นครอบครัวโทรมาเราจะใจไม่ดีมันจะมีความกลัวว่าเวลาที่เรารับสายที่บ้านจะเป็นอย่างนี้นะ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า คือ เรากลัวค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้ คือ มันทำใจไม่ได้ถ้าเกิดมันเกิดแล้วพอเราเห็นเบอร์จากที่บ้านโทรมาคือเราใจเต้นรัวๆตลอดเลย แต่จริงๆแล้วเขาโทรมาหาเราเพราะว่าเขาคิดถึง แล้วก็มีช่วงหนึ่งที่ลูกเกิดอุบัติเหตุที่หมากัดน้องคุณยายเขาก็อยากคุยกับหลานเขาก็จะวีดีโอคอล หนูก็แบบไม่อยากให้เขาเห็นเลยว่าหลานเจ็บ ซึ่งเราก็ต้องลงรูปหลานตลอด แต่เราก็แต่งก่อนลงด้วย (ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราไม่ได้เห็นช่วงที่เขากัดลูกเรา เพราะเราทำอาหารอยู่แล้วคุณสามีอยู่กับลูกคุยโทรศัพท์แล้วหมาก็เดินตามเข้าไปด้วย ซึ่งก็เป็นหมาของสามีที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆเราก็ถามเขาว่า น้องไปตีน้องหมาไหม ก็ไม่ได้ตีหรือทำอะไรแต่หมาเขาอาจะรำคาญเขาก็เลยกัดที่หน้าแล้วเนื้อที่หน้าเขาเลย แล้วภาพที่เราเห็นคือเลือดเต็มหน้าลูกเราเลย) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภาวนามาตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นขออย่าให้เกิดขึ้นที่หน้าของลูกเราเลย
ถาม แล้วเราไว้ใจหมาตัวนี้อีกไหม
เมญ่า : ไม่เลยค่ะ เราบอกเขาว่าถ้าอยากเลี้ยงเรากลับบ้านเลยนะ เขาก็แบ่งเขตให้ในบ้านให้ เพราะคุณพ่อเขาเป็นคนที่เลี้ยงรวมกับคน แล้วคือเด็กมันค่อนข้างจะคุมยาย
ถาม ที่บอกว่าไม่สามารถให้คุณยายรู้ได้เพราะว่าคุณยาย รักหลานมากไม่เคยตีเลย
เมญ่า : ใช่ค่ะ เพราะด้วยความซนของลูกหนูคือ สามารถหล่นลงมาแล้วไหปลาร้าหักได้ คือ ซนแบบลิงเรียกพี่จนเราต้องยกมือไหว้ลูกแล้วบอกเขาว่า ขอร้องเถอะลูกพอก่อน ซึ่งเวลาที่เราอยู่ที่สเปนคือถ้าเขาดื้อเราจะบอกให้เขาไปสงบอยู่ในห้อง หรือ เข้ามุม ซึ่งพอมาที่ไทยแม่บอกเราว่าเราเอาลูกไปขังไว้ (แต่คือทุกครั้งที่เราให้เขาอยู่ในห้องเราก็นั่งอยู่กับเขารอจนกว่าเขาจะสงบนะคะ) วิธีการเลี้ยงของเรากับแม่ไม่เหมือนกันเราก็เลยต้องปล่อยให้แม่ทำแบบเอาที่เขาสบายใจที่จะทำไปเลยแล้วค่อยไปปรับใหม่ที่โน้นค่ะ
ถาม แต่เร็วๆนี้เรากำลังย้ายไปอยู่ที่สเปนแล้วจะเรียกได้ว่า เมญ่า กึ่งๆที่จะลาวงการบันเทิงเลยไหม
เมญ่า : ไม่ได้เชิงจะลาวงการค่ะ ดูงานมากกว่าเราก็พยายามรับงานที่จะแบบว่าไม่ผูกมัดตัวเองมาก งานที่เราสามารถบินไปบินกลับได้ แต่ ณ ตอนนี้เราก็ต้องวางแผนไว้ก่อนว่าน้องกำลังจะ 3 ขวบแล้วเราก็เริ่มที่จะวางแผนดูที่ดูทางเรื่องของการเรียนแล้วก็อยากให้น้องเรียนที่โน้นอาจจะต้องวางแผนว่ายังไงให้การเรียนของลูกโอเคแล้วไม่กระทบกับงานแม่ แต่แม่ก็ต้องเน้นทางโน้นเป็นหลัก มันเหมือนการวางแผนล่วงหน้าเพราะว่าเราไม่รู้ว่าตอนไหนจะเกิดเพราะขนาดที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ดีๆแล้วโควิดก็เข้ามาชีวิตพังกันก็เยอะ แต่ถ้าเราไปอยู่โน้นสิ่งที่เรากังวลที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องสุขภาพของพ่อกับแม่ เราไปอยู่โน้นคือคนในครอบครัวเราต้องอยู่แบบโอเคนะพี่สาว พี่ชาย สามารถดูแลท่านแทนเราได้ในระหว่างที่เราอยู่ที่โน้น วางแผนเรื่องการเงินว่าเขาต้องใช้เท่าไหร่ ที่เรากลับมารอบนี้ คือ เราก็พยายามหาเงินเพื่อที่จะได้เก็บไว้ตามแผนที่เราวาง ซึ่งมารอบนี้เรากลับมาก็ผิดแผนจากที่ว่าเรามาหลายเดือนน่าจะมีงานเยอะ แต่ปรากฏว่าสามเดือนคือไม่มีงานเลย ที่มาในรายการ ต้มยำอมรินทร์ คืองานแรกในรอบสามเดือนเลยค่ะ ตอนนี้ก็อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยเพราะ เมญ่า เชื่อว่าในสถานการณ์นี้ไม่มีใครอยากให้มันเกิดสิ่งที่ทำได้คือ ทำใจแล้วก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับมันให้ได้มากที่สุด หาโอกาสเท่าที่เราจะทำได้ขอให้สถานการณ์แย่ๆนี้ผ่านไปโดยเร็วทำให้เราทุกคนกลับมาใช้ชีวิตกับอย่างมีความสุขโดยเร็วกับครอบครัวค่ะ