ส่องชีวิต อาปุ๊ มนตรี กับความลับในวงการบันเทิงที่น้อยคนจะรู้

อาปุ๊ มนตรี เจนอักษร เห็นชื่อนี้ก็การันตีฝีมือในการแสดงละครจนทำให้คนดูอินกับผลงานทุกๆ เรื่อง ซึ่งล่าสุด อาปุ๊ มนตรี นักแสดงรุ่นใหญ่ ได้มาเล่าเรื่องราวชีวิตทั้งที่อยู่ในวงการบันเทิงกับความลับที่ไม่เคยบอกใคร และชีวิตจริงกับความรักกับภรรยาคู่ชีวิต 40 กว่าปี แถมงานนี้ อาปุ๊ ยังยอมรับว่าเป็นคุณปู่ที่หลงหลาน และทุกประเด็นในรายการคุยแซ่บSHOW  ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการใรครั้งนี้

อาปุ๊ มนตรี เล่าถึง กระแสละคร โนราสะออน ที่เจ้าตัวได้ร่วมแสดงว่า "ตอนนี้เรตติ้งอันดับ 1 ของทุกเรื่องในประเทศไทย ที่รู้ว่าดังคือโดนด่าเยอะ จะมีคนที่ดูแล้วรักตัวละครตัวนี้ แต่พอดูไปก็จะมีคนเกลียดว่าเป็นคนแก่ไม่ฟังเสียงใคร ขี้โมโห ดื้อ ความคิดตัวเองเป็นใหญ่คนก็พร้อมใจกันมาด่า แต่ที่สำเนียงอีสานจนคนอินนั้น อย่าไปบอกใครนะว่าไม่ใช่คนอีสานเลย"

มนตรี เจนอักษร เล่าพื้นเพของตนเองว่า อันที่จริง อาปุ๊เกิดที่นครปฐม คุณพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นข้าราชการแต่ย้ายไปทั่วเลย มีโอกาสได้ย้ายไปอุดร มันอวนอยู่ในหัวเพราะเพื่อนพูดหมดซ้ายขวา มันได้ยินแต่ไม่ได้พูด เป็นลูกข้าราชการย้ายบ่อยมาก ยังไม่ทันได้พูดก็ย้ายแล้ว มันได้ยินตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งตนเป็นคนที่ไม่เชื่อมั่นในตนเองเลยตั้งแต่เด็กๆ ให้ไปพูดหน้าห้องซ้อมมาอย่างดี พอถึงเวลาพูดไม่ได้ 

ความขี้อายความไม่มั่นใจตัวเองมันสูงมาก พอไปเรียนที่มหาวิทยาลัย อาจารย์ที่สอนด้านการแสดงบอกว่าขอให้มาเรียนวิชานี้กับครู ศิลปะด้านการแสดงนี่แหละ มันจะได้หายจากอาการที่เรามีทั้งหมด พอเราเข้าไปในตัวละครลืมทุกอย่างแล้วเป็นละครตัวนั้น ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่ อย่างงานเลี้ยงปิดกล้องถ้าเราต้องร้องเพลงจะไม่กล้าขึ้นไปร้อง

อาปุ๊ในวัย 66 ปี เล่าย้อนไปตอนที่ ตนเองเข้าวงการใหม่ๆ ว่า เรียนจบแล้วไปเล่นละครเวที แล้วมีคนอยากได้พระเอกหน้าตาซื่อบื้อหน่อย ตนก็ไปเล่นเรื่องนี้ จากนั้นตนจะตามติดผู้กำกับฯ ตลอด ว่าเขาจะสอนยังไง เขาจะบอกอะไร ตนอยากได้ความรู้จากเขา เขาได้ยินเสียงการพูดของตน จากนั้นเขาก็โยนทุกอย่างให้ตนหมดเลย

ภาพจาก ดาราไทย อดีตและปัจจุบัน

ส่วนประเด็นที่มีข่าวเม้าท์ตั้งนานว่า พอแจ้งเกิดเป็นพระเอก แต่หนีไปอยู่ต่างประเทศนั้น อาปุ๊ ระบุว่า "ด้วยตัวตนเป็นคนสมถะ ยังอายอยู่ยังไม่กล้าเข้าหน้าฝูงชน เรื่องแรกได้เสียงตอบรับที่ดีเพราะไปได้รางวัลที่ต่างประเทศ คนรู้จักเยอะมาก คนที่ไม่มั่นใจในตัวเองทุกคนมารุมเราอยู่คนเดียวเราทำอะไรไม่ถูกเลย ปากจะเริ่มสั่น

เรารับความมีชื่อเสียงตอนแรกแทบไม่ได้เลยไปเมืองนอก ต้องหนีไปอยู่ไกลมากที่เนเธอร์แลนด์ ขนาดไปที่นั่นยังมีคนทัก เรามีความรู้สึกว่าชีวิตเราต้องมาเป็นที่รู้จัก ต้องรับสิ่งนี้ให้ได้ต้องไปพร้อมกัน เพราะเราชอบแสดงมาก สิ่งพวกนี้มันมาพร้อมกัน ทำใจจนได้ ตอนนี้ไปไหนมาไหนทักทายผู้คนได้"

หากใครที่เคยร่วมงานกับอาปุ๊ จะทราบอย่างมดีว่า อาปุ๊ ทำงานมา 40 กว่าปี ไม่เคยสาย ซึ่งนักแสดงรุ่นเก๋าระบุว่า ไม่เคยสายแม้แต่ครั้งเดียว ในความขี้อายมีความเกรงใจอยู่ในนั้นด้วย เกรงใจทุกคนที่ทำงานร่วมกับเรา ถ้าเราไปสายเป็นภาระคนโน้นคนนี้เราทำไม่ได้เลย เราได้รับการสอนมาอย่างนั้นด้วย เล่นละครเวทีใครมาสายแม้แต่นาทีก็ไม่ได้

ก่อนจะเข้าถึงเรื่อชีวิตคู่ของตนว่า ทั้งชีวิตมีแฟนคนเดียว เป็นเพื่อนกันมาตอนมหาวิทยาลัย ไม่ได้เก่งกาจจะไปจีบใคร เรียนด้วยกันก็ชอบเขา เขาน่ารักพูดคุยกันรู้เรื่องทุกเรื่อง พูดภาษาเดียวกันหมด ไม่เคยจีบเลยรวบรวมความกล้าครั้งเดียวในชีวิต กับความกรึ่มหน่อยๆ โทรไปหาเขาบอกเขาว่าชอบนะ พอพูดออกมาได้ก็วางหูไป ตอนนั้นเขาไม่ได้ตอบอะไร ไม่กล้าเจอหน้าเขาเลย หนีตลอดเลย จนเขาต้องมาคุยเองว่าตกลงยังไง ก็เขินๆ กันทั้งคู่ หลังจากนั้นก็คุยกัน เป็นแฟนกันโดยไม่รู้ตัว ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด

แต่อุปสรรคเดียวที่มีปัญหาคือ พอเรียนจบ เปลี่ยนอาชีพเกือบเลิกกัน ซึ่งเขาไปเป็นอาจารย์ เราก็เป็นอาจารย์ เขาสอบแอร์โฮสเตสติด ด้วยความที่เราสมถะเป็นอาจารย์มันดีแล้ว เราก็เริ่มคิดว่าเขาจะต้องไปพบคนมากหน้าหลายตา หวง ไม่มั่นใจในตนเอง คิดไปใหญ่เลย ความเห็นไม่ตรงกัน ท้ายที่สุดมันก็ต้องทำใจ มันอยู่ที่ความเชื่อใจ

 

กระทั่งสุดท้ายทำไมถึงยอมให้ไปเป็นแอร์โฮสเตส ซึ่งตนน่าจะเป็นทางที่ดีกว่าสำหรับตัวเขา และมันเป็นสิ่งที่เขารักจะทำ เราก็ยอม แรกๆ กลัวมาก กลัวไปต่างๆ นานา กลัวว่าเขาจะไปเจอใคร ไม่ทะเลาะกันแต่ความเห็นไม่ตรงกันครั้งแรกเลย มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาเลยยอม ส่วนตนเองที่ผันจากอาจารย์มาเป็นนักแสดงนั้น ภรรยาไม่หวงเลย เขาแน่ใจอะไรก็ไม่รู้ว่าไอ้นี่ไปไหนไม่ได้หรอก

การเข้าวงการมาของอาปุ๊คือ เล่นละครเวที มีคนเห็นว่าเราเล่นหนังได้ เอาเราไปเล่นพระเอก ตอนนั้นคิดอยู่นานว่าจะเล่นดีไหม เพราะตอนนั้นเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอยู่ด้วย ทางบ้านไม่รับเลยถ้าเราจะเป็นนักแสดง เพราะที่บ้านเป็นข้าราชการมาโดยตลอด คุณพ่อจะไม่สนับสนุน แต่คุณแม่ให้ลอง เราต้องออกจากการเป็นอาจารย์

อาปุ๊ เล่าอย่างอารมณ์ดีอีกว่า คนหนึ่งถ่ายละครหนัก คนหนึ่งบินหนัก เอาเวลาไหนมาเจอกันไม่มีงานก็มีครอบครัวคิดแค่นั้น แต่ไม่ค่อยชนกัน ไม่ใช่งานคือครอบครัว ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วเราไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ซึ่งการไปเที่ยวกันเป็นเรื่องลำบาก เพราะเราไปถ่ายละครเยอะมากที่ต่างจังหวัด เขาก็บินเยอะมาก เวลาจะเที่ยวเขาลงจากเครื่องไปเที่ยวเขาใหญ่กัน เราก็บอกเขาใหญ่เพิ่งไปมาเมื่อวาน ไปถ่ายละครจะอยู่นานมาก พอไปเมืองนอกเราจะไปชื่นชมศิลปะเขาก็เห็นหมดแล้ว

คู่ของอาปุ๊ น่ารักมากๆ เพราะคุณอาเล่าว่า เห็นกันมาตั้งแต่เป็นเพื่อน ไม่น่าจะมีอะไร ไม่น่าจะไปข้องแวะกับใคร ซึ่งสมัยเล่นเป็นพระเอก มีหนังเรื่องนึง ต้องวาดรูปนางเอกคนนึง วาด 3-4 วัน แล้วรักไปเลย แต่ไม่มีอะไรเกินเลย พอรู้สึกรักเราใจหายถึงตาตุ่ม หลังจากนั้นพอต้องดูรูปแล้ววาด เราจะไม่ดูหน้าเขาเลย เขาก็ไม่รู้จนตอนนี้ 

"เวลาไปถ่ายละครต่างประเทศ แฟนแพ็กกระเป๋าให้พร้อมใส่ถุงยางอนามัยไปด้วย เขาบอกว่าเผื่อนะ กลับมามันก็อยู่เท่าเดิม เราก็ไม่ได้ถามแต่ก็มองหน้ากัน คงเผื่อหน้ามืดเราก็ไม่รู้ อยู่กันมา 40 กว่าปี ทะเลาะยากมาก เพราะเราไม่ชอบทะเลาะกับใคร มันเสียเวลาชีวิต ยิ่งเป็นคนในครอบครัวยิ่งไม่อยาก ถ้ารู้ว่าจะทะเลาะง้อเลย ง่ายที่สุดเลย ง้อง่ายไม่เห็นจะยากเลย ขอโทษนะ" อาปุ๊ ระบุ 

มีผู้หญิงอีก 2 คนที่รักมาก นั่นก็คือ หลาน ตนเป็นคุณปู่คือที่สุดแล้ว อยากได้ลูกสาวมาตั้งนานแล้วไม่ได้ ปู่ติดหลาน เรารักเขาแต่ถ้าพ่อกับแม่เขาไม่อนุญาติให้ทำแบบนี้ เราก็ต้องตามพ่อกับแม่เขา แต่ใช่ว่าจะรักหลานมากกว่าลูก เพราะเมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจ พอถึงรุ่นเรามันก็คล้ายๆ อย่างนั้น ลูกไม่ต้องห่วงแล้ว เป็นคุณปู่ใจดี มันมีความสุขไปหมดเวลาอยู่กับเขา

ข้อมูลจาก รายการคุยแซ่บSHOW