- 02 มี.ค. 2565
นาย "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิชาการชื่อดัง เปิดข้อความเคลียร์ใจหนุ่มกรรชัย หลังโพสต์แนะเรื่องรายการโหนกระแส
จากกรณี นาย "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิชาการชื่อดังได้ออกมาโพสต์ถึงคดี "แตงโม" ระบุว่า
ตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมแตงโม ยังไม่มีโอกาสได้เขียนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เอาล่ะ ขอเครียดแบบซีเรียสนิดนึง นี่คือข้อสังเกตค่ะ
1. พลัง public opinion โดยเฉพาะในโลกโซเชี่ยลมีเดียมันล้นหลาม ในช่วงที่ผ่านมา ที่เห็นดิชั้น fanatical กับเรื่องแตงโม เพราะต้องการทดสอบไอ้พลังของ public opinion อันนี้ มันมีผลอย่างมากในการชี้นำการพิจารณาคดี ที่สำคัญ อาจจะนำไปสู่การชี้นำกฎหมายก็ได้ โดยเฉพาะในบริบทของไทยที่การบังคับใช้กฎหมายยังอ่อนแอ และลื่นไหลไปตามกระแสสังคม
2. คนไทยพร้อมถูกสะกดจิตหมู่ collectively hypnotised โดยเอามาตรฐานทางศีลธรรมแบบสมบูรณ์มาเป็นเครื่องนำทาง แม้ว่าในชีวิตประจำวันของเราจะไม่ได้ปฏิบัติตามหลักศีลธรรมนั้นๆ ตอนนี้ ใครที่เสนอความเห็นเรื่องแตงโมนอกลู่ไปจากหลักศีลธรรม จะถูกห้ำหั่น in some ways บุคคลทั้ง 5 ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ถูกพิพากษาไปแล้ว ตอนนี้ แม้แต่การพูดถึงอดีตที่ไม่พึงประสงค์ของแตงโมก็เป็นเรื่องผิด (ดิชั้นใช้คำว่าพูดถึงนะคะ ไม่ได้ไปไกลกว่าวิจารณ์เลย) มันเกิดปรากฏการณ์ compassion แบบเหมารวม คือการให้ความเห็นใจแก่ผู้ตายต้องให้ทั้งหมด ห้ามกล่าวถึงในทางลบทั้งสิ้น อันนี้หมายรวมถึงห้ามพูดถึงความประมาทที่อาจเกิดจากตัวผู้ตายเอง
3. บทบาทของผู้ชี้นำสังคมอย่างพี่หนุ่มกรรชัย แม้ดิชั้นได้เขียนไปขอบคุณในเรื่องการเป็นปากเสียงชาวบ้าน แต่ดิชั้นไม่แน่ใจว่านี่เป็นบทบาทที่เหมาะสมของผู้ดำเนินรายการหรือไม่ ที่ต้องคงความเป็นกลาง (ให้มากที่สุด) และรายงานข้อเท็จจริง แทนที่จะเป็นการรายงานอารมณ์ การเล็คเชอร์แขกที่มา ทั้งนี้ พี่หนุ่มรู้ว่ากระแสสังคมอยู่ที่ไหน และต้องการ capitalise จากกระแสอันนั้นเพื่อความสำเร็จของรายการและตัวพิธีกร เช่นกัน ในรายการนั้น มันมีการพิพากษาเกิดขึ้นแล้วเหมือนกัน อันนี้ค่อนข้างโหด คือคนไทยชอบดูการเชือดกลางรายการแบบสดๆ อย่างนี้มาก
4. สุดท้าย ทำไมคดีแตงโมถึงกลบทุกข่าว ทำไมเวลามีคนหาย คนตาย คนถูกอุ้มคนอื่นจึงไม่สามารถสร้างพลังได้เท่านี้ อย่าลืมว่า คนไทยเกือบทุกคนรู้จักแตงโม โตมากับแตงโม เรียกว่ารู้จักเหมือนคนรู้จัก มันเป็นมายาคติ แล้วสังคมไทยนิยมสร้างมายาคติแบบนี้ ดาราที่ต่อสู้เพื่อชีวิต มาจากครอบครัวที่แตกแยก ผิดหวังกับความรัก ไม่สมหวังกับชีวิต ผ่านอุบัติเหตุและการฆ่าตัวตาย หลงผิดทางการเมือง จนตาสว่างทางการเมือง และพบรักแท้ แต่ต้องมาจบชีวิตแบบนี้ ส่วนกรณีอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ถูกอุ้มหาย คนเหล่านั้นคือประเด็นทางการเมืองที่มายาคติแบบนี้มันเข้าไม่ถึงเท่านั้นเอง ขอบคุณค่ะ
ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ข้อความเพิ่มเติมระบุว่า
เมื่อสักครู่นี้ พี่หนุ่มกรรชัยโทรมาหาค่ะ คุยประมาณ 15 นาที พี่หนุ่มกังวลใจว่าดิชั้น (และเพื่อนคนอื่นๆ) จะเข้าใจผิด (หลังจากที่สำนักข่าวหนึ่งเอาสิ่งที่ดิชั้นเขียนถึงพี่หนุ่มไปลงข่าว) เกี่ยวกับเรื่องบทบาทการเป็นพิธีกรในวันนั้น แล้วพี่หนุ่มเล่าว่าการสัมภาษณ์ครั้งนั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร และได้ย้ำว่า ไม่มีเจตนาไปเล็คเชอร์แขกที่มาร่วมในงาน รายการไม่มีสคริปต์ ไม่ได้เตี้ยมอะไร เป็นไปตาม flow ของการสนทนา ส่วนหนึ่งต้องการให้แขกที่มาได้ใช้โอกาสอธิบายต่อสาธารณชน จึงอาจดูว่าคำถามหรือการแสดงความเห็นชี้นำจนเกินไป พี่หนุ่มรู้สึกห่วงว่าดิชั้นจะเข้าใจผิด จึงอยากโทรมาอธิบาย ส่วนตัวดิชั้นบอกตรงๆ ว่า อยากแนะนำในฐานะกัลยาณมิตรจริงๆ ซึ่งที่จริง ดิชั้นจะอวยว่าวันนั้นพี่หนุ่มทำดีมากๆ ก็ได้ แต่มันขัดกับความรู้สึก และเพื่อนๆ หลายคนก็คิดแบบเดียวกับเรา จึงอยากฝากเป็นคำแนะนำ เพราะตอนนี้ พี่หนุ่มและโหนกระแสได้ขึ้นถึงจุดพีคมากๆ แล้ว อยากให้พี่หนุ่มทำงานนี้แบบ perfect กว่านี้ขึ้นไปอีก ซึ่งพี่หนุ่มก็น้อมรับคำแนะนำแล้วบอกว่าจะนำไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป
…อยากขอให้เพื่อนๆ เข้าใจตรงนี้ด้วยค่ะว่าพี่หนุ่มไม่มีเจตนาแบบนั้น การรับคำชมย่อมง่ายกว่าคำติ เรื่องนี้ดิชั้นนับถือพี่หนุ่มมากๆ ที่รับคำติดิชั้นด้วยความยินดี
…อ้อ อันนี้ดิชั้นบอกพี่หนุ่มแล้วว่าจะเอาเรื่องนี้มาเขียนต่อให้เพื่อนๆ อ่านค่ะ