- 20 เม.ย. 2565
อีฟ พุทธิดา เผยสิ่งติดค้างที่ อาต้อย เศรษฐา ยังไม่ได้ทำก่อนจากไป ลูกสาวยอมรับยังจัดโต๊ะกับข้าวให้คุณพ่อทุกวัน เหมือนท่านยังอยู่ใกล้ๆ
อีฟ พุทธิดา เผยสิ่งติดค้างที่ อาต้อย เศรษฐา ยังไม่ได้ทำก่อนจากไป เพิ่งควงคุณแม่เปี๊ยก อรัญญา มาออกรายการครั้งแรก หลังจากสูญเสีย อาต้อย เศรษฐา ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งก่อนหน้านี้ อาเปี๊ยก อรัญญา ได้ออกมาเปิดใจหลังการสูญเสียครั้งใหญ่ ทั้งสภาพจิตใจและสุขภาพของตนเอง ซึ่งอาเปี๊ยกยอมรับว่า ตนมีโรคแทรกซ้อน แต่เรื่องของจิตใจนั้นค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับแล้ว
"ความรู้สึกในใจตอนนี้เริ่มโอเคแล้ว เพราะว่าเรามีแรงบันดาลใจจากผู้ที่รักคุณต้อยมาก แล้วก็ผู้ที่ช่วยเหลือทั้งหลาย ทำให้เราดีขึ้นเยอะ แต่ความรู้สึกคิดถึงคุณต้อยนั้น มันคิดถึงอยู่ทุกวัน แต่เราต้องรับความเป็นจริง เราเข้าใจนะ เพราะมาป่านนี้แล้ว เราเข้าใจว่าเกิดแก่ เจ็บตาย มันเป็นยังไง" อาเปี๊ยก อรัญญา ระบุในช่วงตอนหนึ่ง
ขณะที่ อีฟ พุทธิดา ลูกสาวต้อย เศรษฐา จะเริ่มเล่าว่า ทุกวันนี้ยังทำเหมือนเดิม คือจัดอาหารไว้ให้คุณพ่อด้วย เหมือนเราตั้งโต๊ะ ก็จะมีสำหรับ ที่นั่งพ่อที่เขานั่งประจำ ก็จะมีจาน ช้อน ส้อม ตักอาหารให้ จุดธูปบอกกินข้าวด้วยกันทุกมื้อ แม้จะไปกินข้างนอกเราก็จะบอกว่าพ่อขึ้นรถนะ เดี๋ยวไปกินข้าวที่ร้านนี้กัน แล้วเราก็ตั้งโต๊ะ ก็ทำแบบนี้
"ในระหว่างที่เราทำ ก็เพราะรู้สึกว่าคุณพ่อยังอยู่ก็ตามที่เขาบอกกันมาว่า ใน 100 วันนี้พ่อก็ยังอยู่กับเรา เราก็อยากทำทุกอย่างให้เหมือนเขาอยู่กับเราตลอด" อีฟ พุทธิดา อธิบาย
ก่อนที่เธอจะเริ่มถึงอาการป่วยของคุณพ่อตั้งแต่การรักษา การตรวจพบมะเร็ง การส่งต่อกำลังใจ รวมไปถึงนาทีที่ทราบว่าต้องสูญเสียว่า คุณพ่อรักษาทั้งแผนปัจจุบัน และทางเลือก ที่ผ่านมามันดีมาโดยตลอด เธอเข้าใจว่าตอนที่เริ่มต้น ร่างกายมันยังดีอยู่มาก จริงๆ พ่อเป็นคนใส่ใจเรื่องสุขภาพ ตรวจทุกปี อะไรนิดหน่อยก็หาหมอ
"ตอนที่เจอคือพ่อไอเป็นเลือด เขารู้ว่ามันผิดปกติ เขาก็ไปหาหมอ ตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นตรงนี้ พอตรวจลึกๆ สุดท้ายเป็นตรงนี้ เขาก็ช็อกอยู่พอสมควร ตอนแรกที่เจอระยะที่ 4 ค่ะ หลังจากนั้นก็เป็นมาโควิดอีก แต่ห่างกันประมาณ 2 ปี เพราะพ่อเพิ่งมาเป็นโควิดเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถ้าดูตามโรค จริงๆ ไม่ส่งผลเลย เพราะว่าโควิดมันลงไปคนละที่กับตำแหน่งที่มีอยู่ แล้วหลังจากที่พ่อหายจากโควิดสนิท ไม่มีปัญหาตรงนั้นอีกแล้ว
ตัวมะเร็งที่อยู่ในปอดก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ปัญหาก็คือ เนื่องจากระยะ 4 มันคือระยะลุกลาม พอร่างกายมันอ่อนแอ มันก็ไปงอกที่อื่น คือจุดอื่นต่างหากที่มันโตขึ้น จุดที่ปอดมันไม่ขยายก็จริง แต่มันมีตำแหน่งตรงต่อมหมวกไตก็เลยต้องกลับมาให้ยาใหม่ ซึ่งมีช่วงที่ดูแลคุณพ่อ มีช่วง 10 วันที่ทรมานใจอีฟมาก เพราะหลังจากที่คุณพ่อกลับทาให้คีโมรอบ 2 คุณพ่อมีผลจากยามาก ถ้าตามอินสตาแกรมเขาก็จะเห็น
ก็มีคนมาถามอีฟทำไมลงรูปพ่อทรุดลงๆ เราได้แต่บอกว่า เขาทรุดลงแล้วเขาจะดีขี้น ในช่วงให้ยาครั้งแรกคุณพ่อก็ทรุดเหมือนกัน แต่เขาก็ดีขึ้น เราอยากเก็บช่วงเวลาไว้ แบบตอนนี้พ่อแย่กง่ว่านี่นะ แต่พ่อค่อยๆ ดีขึ้นนะ เราอยากให้เขาเห็นตรงนั้น แต่ในช่วงที่2 มันไม่ดีขึ้นดหมือนครั้งแรก" ลูกสาวคนเดียวของอาต้อย เล่าให้ฟังยาวเหยียด
อีฟ ลูกสาวคนเดียว อาต้อย เล่าต่อไปว่า ช่วงหลังโควิดมาแล้ว คุณแม่จะมีปัญหาในเรื่องของการทานยา ตัวยาสมุนไพร ด้านคุณพ่อค่อนข้างขี้เกียจทาง เขารู้สึกว่ายามันเยอะมาก แต่เธอก็เข้าใจเขาว่ายามันเยอะ บทที่เขาก็ข้ามไปบ้าง ดื้อบ้าง แบบไม่กินได้ไหม แล้วช่วงหลังมานั้น เป็นคีโมรอบ 2 มันไม่ได้เริ่มจากต้นทุนเดิมที่มันต่ออยู่มาแล้ว คุณพ่อทานไม่ได้ แพ้คีโมมาก อาเจียนด้วย ก็เลยเกเร เรื่องสมุนไพรไม่ยอมทาน
"ช่วง 10 วันคือช่วงปีใหม่ที่อีฟอยู่ยาว เป็นวันหยุดให้เลขา ผู้ช่วยเขาพัก ช่วงนั้นโควิดมันก็หนัก เราก็ต้องตรวจ PCR ด้วย เพื่อจะเฝ้า ช่วงนั้นอีฟอยู่กับพ่อ 2 อาทิตย์ไม่มีใคร เข้าออกได้จะอยู่กับพ่อ 2 คน ช่วงนั้นพ่อมีสภาวะสะดุดเยอะ หมอก็จ่ายยาให้ตัวหนึ่ง มีทั้งยาแก้ปวด ระงับประสาทค่อนข้างมาก เขาก็เลยเกิดผลข้างเคียง ซึ่งผลข้างเคียงไม่ได้เกิดกับทุกคน คือคุณพ่อทานไม่ได้ ต้นทุนมันไม่ค่อยดีแล้ว เอฟเฟ็คจากยามันค่อนข้างเยอะ
กลายเป็นว่าพ่อไม่เป็นตัวของตัวเอง จำไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าพ่อเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งมันแย่กว่าตอนที่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งด้วยซ้ำ เพราะเรารู้ว่าถ้าเป็นอาการอัลไซเมอร์มันยากที่จะพาความจำเขาคืนมา ไหนจะเรื่องดูแลการทานยาอีก เช้าวันนั้นเขาแย่มาก มันไม่เป็นตัวเขาแล้ว ไม่ว่าสภาวะทางร่างกายหรือทรงความจำ เราต้องอุ้มคนเดียว ต้องยก ทำทุกอย่างเลย
ถามเขาว่าจำได้ไหม รู้ไหมนี่ใคร เขาไม่ตอบด้วยซ้ำ เขาแค่ส่ายหัว เขาเป็นแบบนี้ 2 วันเต็มๆ หายวันที่ 3 คือตอนที่เจอสภาวะนั้นอีฟแย่แล้วหมอมาพูดกับอีฟว่าใจเย็นๆ นะ มันอาจจะเป็นเอฟเฟ็คจากยา ใจเราตอนนั้นก็ไม่คิดว่า ยามันจะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ แต่พอหมอเขาลดยา อาการมันก็หาย ซึ่งตอนที่พ่อเป็นมากๆ ก็แอบคิดว่านี่จะเป็นโมเมนต์ที่เราต้องเสียพ่อไป
มันเหมือนในหนังเลย จำภาพนั้นได้เลย มันเป็นช่วงกลางวันที่ถามว่าเขาจำอีฟได้ไหม แล้วเขาตอบไม่ได้ อีฟเห็นเงาตัวเองสะท้อนกำแพงขาวๆ แดดมันส่องมาที่หน้าต่าง พ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ อีฟนั่งอยู่ที่พื้น อีฟกอดเขาแล้วเห็นเงาตัวเอง แล้วร้องไห้อยู่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร แว้บนั้นอีฟรู้สึกว่าตัวเองแย่ที่สุดแล้ว
แต่พอถอนยาออกบางตัว แล้วเขาจำได้ มันเหมือนโลกมันกลับมาใหม่ ก็คิดว่าโอเค เป็นเพราะยาจริงด้วย คงไม่เป็นไรแล้วแหละ พอพ่อพูดรู้เรื่อง อีฟมาเข้าใจว่า เขามีความทุกข์ เขาไม่ได้กินอะไรที่เขาอยากกิน เขาต้องกินแต่ของที่เขาคิดว่ามีประโยชน์คิดว่าดี แต่เขาไม่อยากกิน เขาไม่มีความสุขเลย เขาต้องกินยาเยอะ ต้องอยู่ในสภาวะที่เขาไม่มีความสุข แล้วเขาเลยสงสัยว่าเราเนี่ยอยากให้เขาหายจริงๆ เหรอ
แต่เหมือนเขารู้สึกทรมาน อีฟเลยบอกว่าพ่ออยากกิน พ่ออยากทำอะไรพ่อต้องบอก ทุกคนอยากให้พ่อหาย แต่พ่อต้องบอกตรงๆ ไม่ใช่ว่าฝืนทำแล้วไม่มีความสุข แล้วก็มารู้สึกว่าเป็นทุกข์ เราก็เลยบอกโอเคถ้าเราเข้าใจกันได้ เขาก็จะสู้อีกตั้งนะ เขาจะหาย เขาจะพยายาม ก็เลยเริ่มต้นกันใหม่ ช่วงต้นปี พ่อพูดคุยได้ปกติ แต่ว่าพ่ออ่อนแรงมาก ผอม ทานไม่ได้ แล้วไม่ค่อยยอมให้อาหารทางสายยาง ในแง่ของคนดูแลเราก็พยายามบาลานซ์ในความสุขของเขากับสิ่งที่เราจะต้องให้ เจาก็ดีขึ้นมาตลอด ช่วงที่ผ่านมาทั้งหมดเขากลับมาอยู่บ้านแล้ว" อีฟเล่าอย่างละเอียด
เธอเล่าต่อไปว่า จริงที่ทำให้คุณพ่อต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกก็คือ เป็นเรื่องของการตรวจเช็คปกติ ที่หมอจะนัดทุกๆ 2-3 อาทิตย์ ให้กลับไปดู มีอย่างนึงที่ทำให้เห็นคือเขาจำไม่ค่อยได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ พอคนป่วยนานๆ มันก็มีสภาวะนี้คือสับสนว่าตกลงเราอยู่บ้านหรืออยู่โรงพยาบาล เธอก็จะบอกว่า "พ่ออยู่บ้านนะ"
แต่พอเห็นเขาสับสนมากๆ เธอก็เข็นเขาไปเดินหน้าบ้าน ให้เขารู้ว่าเนี่ยเขาอยู่บ้าน บ้านที่เขาสร้าง บ้านที่เขาหามา พ่อจำได้ไหม เขาก็ยิ้มนะ เขานั่งมองดูบ้าน แต่ว่ารอบที่ไปสุดท้ายเนี่ย เพราะว่าอาทิตย์นั้น พ่อไม่ทาน ถึงเวลานัดที่คุณหมอไปเช็กอัพปกติ ก็เลยคุยกันว่าหมอจะจองเตียงไว้ให้ถ้าเราอยากให้คุณพ่อแอดมิท แต่พ่อไม่มีภาวะอื่น ก็เลยบอกว่างั้นให้พ่อนอนสัก 2 คืนดีไหม เพื่อให้อาหารทางสายยาง เพื่อเติมน้ำเกลือหน่อย เขาจะได้ดูมีแรง เพราะเขาดูไม่มีแรงเลย ก็เลยไปเติมสัก 2 วันแล้วจะได้พาพ่อกลับบ้าน
ก่อนที่ อาเปี๊ยกจะเสริมขึ้นว่า คุณพ่อเขาเข้าใจ เวลาเขาไม่สบายตัว เขาอยากไปนะโรงพยาบาล เขาจะสั่งเองด้วยซ้ำ เราทำตามสิ่งที่เขาอยากทำทุกอย่าง อยากกลับบ้าน เราก็บอกคุณหมอ กลับก็กลับ
ด้าน อีฟ ได้ลเาถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดว่า ช่วงที่ผ่านมาในการดูแลพ่อมันหนักมาก เพราะว่าการนอนเขาก็ไม่เหมือนคนทั่วไป กลางวันเขานอนได้มากกว่ากลางคืน ซึ่งเราคนปกติ ทำงานด้วย แล้วเราเฝ้ากันเองก็จะไม่ได้นอน นอนน้อย คุณแม่เองเขาก็เริ่มแย่ พอพ่อทานไม่ได้ เขาก็ไม่อยากทาน เราพยายามทำให้เขามีความสุข แต่ตัวเราเองมันมีเวลาพักผ่อนน้อยจริงๆ เธอก็คุยกันบวกกับ ต้น (สามีอีฟ) ต้องไปคุยเรื่องงานพอดี งั้นอย่างนี้ไหม พอพ่อเข้าโรงพยาบาลเที่ยวนี้เธอจะไม่ไปเฝ้า เพราะแค่ 2 วัน ก็เลยบอกกับเลขาว่าขอให้เลขาเข้าไปเฝ้า เดี๋ยวเธอจะพาแม่ไปพักผ่อน เดี๋ยวกลับมาจะไปรับ แต่พอเข้าไปจริงๆ มันก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
"ทุกครั้งที่เราต้องไกลหู ไกลตา มันไม่สบายใจหรอก แต่เราก็ต้องคิดในทุกๆ อย่าง หมายถึงว่า เราก็ต้องคิดถึงแม่ด้วย เราต้องทำงานด้วย เราไม่ได้ทำได้แค่อย่างใด อย่างหนึ่ง เราต้องทำทุกอย่างในเวลานั้นๆ ซึ่งเลขาไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเฝ้า อีฟต้องบอกว่าปีแรกทั้งปีที่พ่อป่วย อีฟแทบไม่ได้ดูแลพ่อเลย เพราะว่าเลี้ยงลูก ลูกกินนมแม่ 1 ปีเต็ม มันก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่พ่อเขาพยายามด้วยตัวเขาเอง
ปีแรกที่เขาพยายามด้วยตัวเองได้ เราพยายามด้วยตัวเองเยอะมากเพราะเขารู้ว่า อีฟเหนื่อยมากในการเลี้ยงลูก เขาก็พยายามที่จะช่วยเราด้วยการที่ดูแลตัวเอง แล้วตลอดช่วงนั้นก็มีแต่เลขาที่ช่วย เพราะอีฟเป็นลูกคนเดียว เลขาก็เหมือนลูกสาวพ่ออีกคน ก็อยู่กันมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นตอนที่เราคิดว่า ขอ 2 วันเนี่ยไม่ใช่ว่าเราเอาพ่อไปไว้กับคนที่พ่อไม่คุ้นเคย หรือคนที่พ่อไม่แฮปปี้ด้วย" อีฟ พุทธิดา เล่า
ก่อนที่อาเปี๊ยกจะบอกว่า "ปกติไม่ค่อยอยากไปไหนหรอก ยิ่งพ่อเป็นแบบนี้ แต่เราอยู่บ้าน เราก็ไม่ได้ทำอะไร ลูกก็บอกว่าไปเถอะแม่ไปพักสมองบ้าง เพราะว่าคุณพ่อก็ไปมาปกติ เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นวันสุดท้าย เราไม่เคยคิดตรงนี้ จะว่าเราประมาทก็ไม่ใช่นะ เพราะความรู้สึกเราแบบไปทานอาหารได้ หมอจะได้ช่วยได้ เพราะอยู่บ้านเราช่วยอะไรไม่ได้เลย พอตกถึงภาวะนี้เราก็ต้องไปหาหมอ แม้กระทั่งคุณพ่อเองเขาก็รู้ เขาบอกว่าเขาจะไปหาหมอ"
ก่อนจะเล่าถึงช่วงเวลาที่ต้องจากกันกับคุณพ่อตลอดชีวิตว่า ได้รับโทรศัพท์ ครั้งแรกตอนตี 2 ซึ่งเมื่อกลับมานั่งคิดดูก็ถ้าเรารู้เร็วกว่านี้หน่อย ยังไงก็กลับทัน พอเราถึงเสม็ด แม่ก็โทรคุยกับทางเลขา เป็นยังไง ทุกอย่างโอเคไหม พ่อก็ตรวจ PCR เพื่อจะแอดมิท ต้องรอผลอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน ก็ยังดูปกติดีไม่มีอะไร
"เลขาเขาโทรมาอธิบายว่า พ่อความดันตกตั้งแต่ช่วงเย็น คือพ่อมีเสมหะเยอะ หมอก็ดูดออกมา พอดูดเสร็จแล้วมันน่าจะมีอาการเจ็บ ความดันก็ตก หมอให้ยากระตุ้นความดัน ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาแป๊บหนึ่ง คอนหัวค่ำ 2-3 ทุ่มดูไม่มีอะไรแล้ว ก็คิดว่าน่าจะไม่มีอะไร แต่พอสักเที่ยงคืนมันตกลงไปอีก แล้วพอต้องให้อันต่อมา เขาก็โทรมาปรึกษา หมออธิบายว่า
ถ้าให้คราวนี้มันจะต้องประคองด้วยยาไปเลยนะ แต่มันจะมีเอฟเฟกต์บางอย่าง เราจะโอเคไหม อีฟก็เลยบอกว่า ถ้าไม่ให้มันก็จะไม่กลับขึ้นมาใช่ไหม อีฟก็เลยบอกว่าให้ไปก่อนเลยได้ไหม ใจก็คิดว่าเดี๋ยวอีฟจะมาตัดสินใจหน้างานอีกที คือหมายถึงว่าให้ไปก่อน เพื่อให้พ่อโอเคก่อน เดี๋ยวอีฟจะรีบกลับไปดูว่าจะต้องยังไงต่อ เขาก็เลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวให้เข็มนี้แล้วต้องดูว่าพ่อจะดีขึ้นไหม
หมอก็กระตุ้นด้วยเข็มนั้น อีฟก็โทรคุยกับทางเรือว่าเดี๋ยวตี 5 อีฟจะขอรีบกลับ ซึ่งมันยังดูไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องของการให้ยากระตุ้น พอตี 4 เขาโทรมาร้องไห้แล้ว เขาบอกว่ามันไม่ขึ้น หมอพยายามมอนิเตอร์ดูไม่ขึ้น จริงๆ ก่อนหน้านี้มันจะมีครั้งหนึ่งที่เราเข้าโรงพยาบาลกัน รอบนั้นเพื่อไปแอดมิท คือรอบก่อนรอบนี้ พ่อมีอาการออกซิเจนต่ำทั้งวัน ต่ำยิ่งกว่าตอนเจอโควิดอีก
ตอนที่เขาโทรมาแจ้งเรื่องความดัน อีฟก็คิดว่ามันน่าจะเป็นประมาณนั้น เราไม่ได้คิดว่าเพราะความดันตกมันจะทำให้ดับไปเลย ซึ่งเลขาและผู้ดูแลเขาอยู่ด้วยกัน เขาร้องไห้ แล้วพูดว่า ไม่น่าได้แล้วนะ น่าจะไม่เกินชั่วโมงนี้ เขาบอกว่าเขาอยากให้อีฟวีดิโอคุยกับพ่อ พอวีดิโอคอลแล้วเห็นพ่อ พ่อใช้เครื่องออกซิเจน แต่ไม่ใช่เครื่องใหญ่ๆ นะ
อีฟพยายามมีสติที่สุดแล้วไปปลุกแม่ บอกว่าแม่ต้องคุยกับพ่อตอนนี้แล้วแหละ เพราะความดันเขาตกนะ เราต้องคุยกันตอนนี้ แม่ก็มานั่งด้วยอยู่ดีๆ ต้นก็ตื่นมาเอง มานั่งในห้องน้ำด้วยกัน 3 คน อีฟบอกว่าพ่อได้ยินหนูไหม พยายามพูดกับเขา อีฟอยู่ตรงนี้ แม่ ต้น ก็อยู่ตรงนี้ ช่วงนั้นเราพยายามไม่ร้องไห้ แล้วมีความคิดอยู่หน่อยนึงว่าเราจะบอกเขาให้รอก่อน
แต่เราไม่ได้บอกอีฟเชื่อว่าถ้าบอกเขาก็รอ แต่ใจเรารู้สึกว่าเราไม่อยากเห็นแก่ตัวขนาดนั้น เพราะดูเขาไม่โอเคแล้ว ตอนนั้นที่พูดไปคิดว่า เขารับรู้ แต่ว่าเขาตอบไม่ได้แล้ว เราก็บอกเขาว่าเรารักพ่อนะ อีฟบอกว่าพ่อไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว อีฟพยายามพูดกับเขาว่าถ้าเขาเหนื่อย พ่อไม่ต้องคิดอะไรเลยนะ ทำใจให้ว่างๆ
อีฟก็บอกให้เลขาเปิดบทสวดชินบัญชรคู่ไปด้วย แล้วอีฟก็บอกว่าฟังเสียงพระไว้นะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าพ่อเหนื่อย พ่อก็แค่หลับ นอนพักไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว อีฟกับแม่รักพ่อ เราทุกคนรักพ่อ ไม่มีอะไรที่พ่อต้องเป็นห่วงหรือกังวลอีกแล้ว แล้วเลขาเขาก็พูดขึ้นมาว่าอาไม่ต้องห่วงมีบุญนะ ยังไงอีฟก็ต้องเลี้ยงดีที่สุดอยู่แล้วไม่ต้องกังวลนะ เราพูดอยู่อย่างนี้สักพัก แล้วเราก็ค่อยๆ แผ่วลงแล้วเหมือนในหนังเลยเครื่องก็ดังตี๊ด" อีฟพยายามเล่าถึงรายละเอียดให้ฟัง
อาเปี๊ยกก็ได้เพิ่มเติมว่า เห็นทุกอย่างเลย เพราะอยู่ตั้งแต่เขานั่งคุยกัน ดีแล้วที่เราวีดิโอคอลคุยกับเขา ความรู้สึกเรา เขารับรู้ เห็นช็อตสุดท้ายความรู้สึกตอนนั้น มันก็พูดลำบาก เพราะว่าหมอเคยคุยกับลูกมาแล้วลูกมาบอก เราก็มีความรู้สึกว่ามันจะถึงวันนั้นเลยเหรอ แล้วถ้าถึงวันนั้นแล้วเราจะยังไง แต่พอถึงเวลา โอเคเขาก็ต้องเลือกแล้ว คุณพ่อเขาสู้มาตลอด ทุกอย่างมันต้องไปตามขั้นตอน
ก่อนที่ อีฟ จะบอกถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ อาต้อย แต่กลับมาเสียไปก่อน คือ เขามีโปรเจกต์ทำบุญเยอะ จริงๆ มีค้างอีกหลายอย่างเลย แต่เรื่องนึงที่เราคุยกันไว้ก่อนท่านเสีย คือเรื่องของการทำเหรียญ เขาเป็นคนชอบสะสมพระ แล้วก็คุยกันว่าเราอยากทำพระหรือเหรียญสักรุ่นที่พ่อเป็นประธานสร้างเองจริงๆ เป็นชื่อรุ่นที่เป็นชื่อของพ่อ เราก็คุยกันว่าเราจะทำเหรียญด้านนึงเป็นท้าวเวสสุวรรณอีกด้านเป็นท้าวหิรัญพนาสูร เพื่อขอเรื่องสุขภาพโดยตรง แต่แบบเหรียญเพิ่งเสร็จหลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้ว
ข้อมูลจาก รายการคุยแซ่บ Show