- 12 ก.ค. 2565
เฮงเฮง ลูกชายโป๊งเหน่ง ตำนานตลกผู้ล่วงลับ เล่าอาการป่วย ห้วงนาทีสุดท้ายคุณพ่อ คาดเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต
ลูกโป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม เล่าห้วงนาทีสุดท้าย เผยอาการคาดเป็นสาเหตุเสียชีวิต นับเป็นอีกหนึ่งข่าวเศร้าในวงการบันเทิงไทย เมื่อมีรายงานการจากไปของ พงษ์ศักดิ์ โสภักดี หรือ โป๊งเหน่ง เชิญยิ้มเสียชีวิตในวัย 59 ปี เมื่อเวลา 22.16 น. ของวันที่ 10 ก.ค. 2565 ท่ามกลางความเศร้าของครอบครัว และแฟนตลก ที่เข้ามาแสดงความไว้อาลัย ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โป๊งเหน่งเป็นอะไรเสียชีวิต
ล่าสุด ลูกชายโป๊งเหน่ง เล่าถึงคุณพ่อผู้ล่วงลับ ที่ต้องต่อสู้กับโรครุมเร้ามาอย่างยาวนานว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาพ่อสู้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคไตวาย ไตเหลือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่าถ้าอยากจะหายควรต้องมีอย่างน้อยๆ 50 ถึงจะมีสิทธิ์หาย แต่พ่อมีอยู่แค่10 เปอร์เซ็นต์เต็ม100 เขาก็รักษามาตลอด ฟอกไตวันเว้นวัน
"เราทำการรักษาตามที่คุณหมอแนะนำมาตลอด แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีแค่เรื่องของไตอย่างเดียว มันมีอีกหลายๆอย่างมารวมกัน ทั้งความดัน เบาหวาน พอมาทำการรักษาไตเหมือนร่างกายมันถูกใช้งานหนักมากๆ เส้นเลือดที่จะไปเลี้ยงหัวใจมันเลยตีบ 3 เส้น มันไม่ไหลลงไปเลี้ยงร่างกาย" เฮงเฮงเชิญยิ้มอธิบาย
ก่อนที่จะเล่าต่อไปว่า จุดที่เช็คได้คือขา เส้นเลือดมันไม่ไหลลงไปเลี้ยงแล้ว ทำให้พ่อไม่มีแรงที่ขา จะลุกเดินเองเป็นปกติได้ ประจวบเหมาะกับที่พ่อแกไปโดนอะไรมาก็ไม่รู้โดยที่แกไม่รู้ตัว ทำให้แกเป็นแผลที่ขา คนเป็นเบาหวาน แล้วเลือดมันไม่เดินไปอีก มันทำให้แผลเกิดเป็นเนื้อตาย หมอวินิจฉัยต้องตัดขา แต่ด้วยพ่อเขามีหลายโรครวมกัน
"พอจะผ่าตัดขาก็ไม่ได้เพราะกลัวจะไปสะเทือนหัวใจ พอจะทำบายพลาสหัวใจก็ทำไม่ได้ เพราะกลัวจะทนพิษบาดแผลผ่าตัดครั้งใหญ่ไม่ได้ มันเลยทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมันจะกระทบกันไปหมด" เฮงเฮงลูกชายโป๊งเหน่ง ระบุ สาเหตุโป๊งเหน่งเสียชีวิต
เราก็ทำตามที่คุณหมอแนะนำทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ แต่คุณหมอได้แจ้งเรามาประมาณ 2-3 เดือนแล้วว่าคุณพ่ออาจจะหยุดหายใจ หรือไปได้ตลอดเวลานะ เราก็ฟัง แต่จากที่เราดูอาการพ่อมา 2-3 เดือนเราก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เรามองว่ามันยังโอเคอยู่ ดูไม่ได้มีอะไร จนเราลืมคำนั้นของหมอไปแล้ว
"กระทั่งเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 ก.ค. ตนจะออกไปทำงาน ออกมาได้แป๊บเดียวน้องกับแม่พิมพ์มาบอกว่ารีบกลับมานะ เหมือนพ่อหายใจไม่ออก เหมือนพ่อจะไปแล้ว ผมก็รีบขับรถกลับมาหาพ่อ ถามว่าพ่อไหวไหม เดี๋ยวจะโทรหาโรงพยาบาลให้ส่งรถมารับ พ่อก็บอกว่าไหวอยู่ ยังไม่เป็นอะไร เราก็ประเมินสถานการณ์แล้วเขาไม่ไหว แต่ก็บอกเขาว่าพ่อไม่ไหวต้องบอกนะ
ซึ่งเขาบอกว่าไหวแต่เราดูแล้วเขาไม่ไหว เพราะลูกตาพ่อเขาลอยแล้ว ผมรู้จากนิสัยของเขาผมรู้ว่าเขาอยากจะไปที่นี่ ให้เห็นลูกกับเมียอยู่ด้วย เขาไม่อยากโดนส่งตัวไปที่โรงพยาบาลแล้วไปอยู่คนเดียว พอรถใกล้จะถึงเขาก็เฮือกๆ แล้ว กระสับกระส่าย ตาเหลือง ก็บอกเขาทุกคนอยู่ตรงนี้นะ จนขึ้นรถโรงพยาบาลไปเข้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลบอกน้ำตาลต่ำ ก็ให้น้ำตาล
แล้วเขาบอกว่าพ่ออาจจะเจ็บแผล เราอาจจะต้องฉีดมอร์ฟีนให้พ่อทุก 6 ชั่วโมง เขาจะได้ไม่ทรมาน เราก็ให้ฉีด หลังจากที่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน คุณพ่อก็เหมือนคนนอนหลับ ไม่รู้สึกตัวอะไร แต่หายใจด้วยตัวเองได้ จนวันที่ 10 ช่วงเช้า น้องพิมพ์มาบอกว่าพ่อลืมตาแล้วนะ แล้วพ่อก็พยักหน้าตอบ รู้สึกตัวแล้ว ตอบเป็นคำ เราก็คิดว่าแกดีขึ้นแล้ว
จนช่วงบ่ายผมว่างก็ไปเยี่ยมพ่อ อาการแกก็ดีขึ้นจริงๆ ลืมตา ตามองเห็น ผมก็ถามพ่อจำเฮงได้ไหม มองเห็นผมหรือเปล่าเขาก็พยักหน้า เขาบอกเขาพูดไม่ค่อยได้ เขาเหนื่อย เขาพูดได้น้อยนะ เราก็โอเค แค่นี้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวก็หาย ผมก็กลับเพราะผมต้องไปทำงานตอนเย็นต่อ แล้วแม่เขาจะไม่มาเยี่ยมพ่ออยู่แล้ว ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อป่วยแม่ก็จะไม่มาอยู่แล้ว
เขารับไม่ได้ที่พ่อนอนใส่สาย พ่อกับแม่รักกันมาก ถ้าพ่อเป็นอะไรเขาก็เหมือนเชื่อมใจเหมือนเขาเป็นเหมือนกัน ผมก็เลยไม่ให้แม่มา แต่ก็ไม่รู้ยังไงพี่สาวดันแวะไปบ้าน พูดยังไงก็ไม่รู้แม่ยอมมาแต่สวนกลับผม ก็เห็นรถพี่สาวสวนมาตรงโรงพยาบาล ผมก็รีบไปทำงานต่อก็โทรบอกเขาว่าเยี่ยมพ่อเลยนะผมต้องไปทำงาน
ตอนนั้นน้องก็โทรมาบอกว่าพ่อมีความสุขนะ ยิ้ม น้ำตาไหลดีใจที่แม่มาเยี่ยม แม่ก็จากที่ไม่เคยพูดอะไร บอกรักพ่อเขาก็บอกรัก พูดไปว่า 19 กรกฎานี้ รีบหายนะเพราะเป็นวันเกิดพ่อ เขาก็คุยกันสองคนว่าถ้าหายจะได้ไปกินข้าวกัน คือวันเกิด วาเลนไทน์ เขาก็จะไปกินข้าวด้วยกัน ก็ปกติดีจนแม่กลับประมาณช่วง 3 ทุ่มกว่า
พอกลับไปถึงบ้านไม่ถึง 10 นาที น้องก็โทรมาบอกว่าให้ทุกคนรีบมาที่โรงพยาบาลด่วน เพราะพยาบาลแจ้งว่าชีพจรพ่อต่ำมาก หัวใจเต้นจาก 60 ครั้งต่อนาที เหลือประมาณ 36 ครั้งต่อนาที ซึ่งมันเต้นช้ามาก แล้วก็มีหยุดหายใจเป็นพักๆ หยุดหายใจไปนาทีนึงแล้วก็กลับมา เพราะฉะนั้นให้รีบกลับมา ผมก็ทิ้งงานแล้วรีบกลับมาหาพ่อ
แต่ผมก็บอกพี่สาวให้ส่งแม่ก่อน เพราะรู้ว่าถ้าแม่มาไม่ไหวแน่ แม่อยู่ไม่ได้แน่ เลยตัดสินใจให้พี่สาวส่งแม่ก่อน พี่น้อง 6 คนก็มารวมตัวกันที่พ่อ ผมมาถึงประมาณ 4 ทุ่ม ทางโรงพยาบาลก็บอกให้สั่งเสียคุณพ่อได้เลย เรารู้แล้วแหละ เราก็พูด ให้น้องพูด หลักๆ ทุกคนยังเหมือนเดิม สิ่งที่เขาห่วงที่สุดคือแม่ เพราะไม่ว่าเขาป่วยหนักขนาดไหนคำแรกที่เขาเจอหน้าผมคำแรกที่เขาต้องถามคือ "แม่กินข้าวหรือยัง" ก่อนเฮงเฮงจะร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
ทั้งๆ ที่สภาพเขาหนักมาก เขาไม่ค่อยห่วงตัวเอง เขาจะต้องห่วงแม่ตลอดว่าซื้อข้าวให้แม่กินหรือยัง ผมก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวดูแม่เอง ก็เลยคุยกับเขาว่าได้ยินพวกผมไหม เขาก็พยักหน้าว่าเขาได้ยินอยู่ตอนที่เขายังไม่ไป ตอน 4 ทุ่ม บอกไม่ต้องห่วงแม่นะ พวกเฮงจะดูแลแม่เอง พ่อก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ เดี๋ยวถ้าได้เป็นตลกจะได้ดังแบบพ่อนะ พ่อคอยส่งพลังตลกมาให้เฮงนะ จะได้มีคนจ้าง จะได้มีเงินมาดูแลแม่นะ
เพราะในบรรดาลูกทั้งหมดคนที่อยู่ในวงการคือผมคนเดียว ผมเป็น "เฮงเฮง เชิญยิ้ม" ตลกรุ่นสุดท้ายที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เชิญยิ้ม เขาก็ฝากความหวังกับผมไว้มาก เขารู้ว่าเขาจะไม่อยู่แล้ว เขาก็บอกผมตลอดว่าดูแลแม่นะทำอะไรก็แล้วแต่อย่างทิ้งแม่นะ คอยดูแลให้ดีที่สุดเหมือนที่พ่อดูแลไว้" เฮงเฮง ลูกชายโป๊งเหน่งอธิบายห่วงนาทีสุดท้ายของคนเป็นพ่อทั้งน้ำตา
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline