- 24 พ.ค. 2566
เปิดภาพล่าสุดดารารุ่นใหญ่วงการบันเทิง "ชลิต เฟื่องอารมย์" ผันตัวเปลี่ยนเส้นทางชีวิต รวยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน
หายหน้าหายตากันไปพักใหญ่ๆสำหรับรุ่นใหญ่วงการบันเทิง "ชลิต เฟื่องอารมย์" ที่ล่าสุดผันเส้นทางชีวิต ออกจากวงการบันเทิงไปเป็นเกษตรกรเจ้าของสวนทุเรียนที่บอกเลยว่ารุ่งมากๆ และเพิ่งมีคนเหมาทุเรียนยกสวน
โดยเจ้าตัวเพิ่งได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายการโต๊ะหนูแหม่ม ของ หนูแหม่ม สุริวิภา พูดถึงการวางแผนชีวิตหลังเกษียณ และเล่าแผนในวงการบันเทิงต่อจากนี้
พิธีกร : เริ่มต้นไปเป็นชาวสวนทุเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่
ชลิต : ตั้งแต่เราวัยรุ่นแล้วนะ ตั้งแต่เริ่มเล่นละคร เริ่มมีอาชีพเป็นนักแสดง ซึ่งตากล้องช่อง 3 เขาจะขายพื้นที่จันทบุรีไร่ละ 30,000 ซึ่งเราก็พอจะมีเงินไปซื้อ แล้วจันทบุรีเขาปลูกทุเรียน เราก็เริ่มปลูกแต่พื้นที่โล่งๆ ว่างเปล่า ตอนแรกซื้อมา 15 ไร่ และทำไปเรื่อยๆ ซึ่งครั้งแรกเราก็ปลูกทุเรียนเลย แล้วก็มังคุด เงาะ ลองกอง อะไรที่เป็นผลไม้ของเมืองจันเราลงหมดเลย
พิธีกร : ทำสวนทุเรียนอยู่ในความฝันไหม
ชลิต : เรียนรู้และศึกษาเอาเอง จากคุณที่เราให้เขามาดูแลสวน ซึ่งเมื่อก่อนเราไปนอนพักผ่อนและมีหน้าที่จ่ายเงินเดือนเขาอย่างเดียว พอเราเริ่มรู้จักคนที่สมาคมเมืองจัน เราก็ไปช่วยงานเขาบ่อย จนกลายเป็นคนเมืองจันไปแล้ว และเราก็ไปหากินที่นู้น ช่วยงานจังหวัดโดยไม่ต้องจ่ายค่าตัว ไปช่วยให้ฟรี
พิธีกร : ตอนนี้ขายได้กี่ไร่แล้ว
ชลิต : จาก 15 ไร่ ตอนนี้เป็น 50 ไร่แล้ว และเราก็เริ่มซื้อไปเรื่อยๆ ตรงไหนเขาเดือดร้อนมาเราก็ช่วยซื้อ ซึ่งเมื่อก่อนคนสวนถือว่าไม่มีเงินเหมือนตอนนี้ เมื่อก่อนทุเรียนถูกราคา 30 บาท แต่ปัจจุบันมูลค่ามันขึ้นมาเยอะขึ้นเพราะเราส่งออกไปที่จีน
ตอบเรื่องค่าใช้จ่าย ใช้เงินหลักแสนในการทำสวน ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำสวนแล้วก็คนงาน ถ้าพูดถึงตอนนั้นกับตอนนี้การลงทุนก็ใกล้เคียงกัน แต่ตอนนี้มากขึ้นกว่าทุเรียนเป็นโรคมากขึ้น สารพัดโรคเลย
พิธีกร : การจะเป็นเศรษฐีร้อยล้าน เป็นเจ้าของสวนทุเรียนยากไหม
ชลิต : อย่าทำเลยไม่แนะนำ เพราะถ้าคนงานขาดเราทำเอง ซึ่งคนงานเราก็ต้องจ่ายราคาแพง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ถูกๆ เมื่อก่อนวันละ 100 เดี๋ยวนี้วันละ 300- 400 ทุกอย่างต้องลงทุนหมดแต่ทุกคนมองไม่เห็น ทุกคนมองเห็นแต่เงิน ว่ามันต้องได้เยอะอย่างนั้นอย่างนี้
พิธีกร : อนาคตและความคาดหวังจากนี้ไปเป็นยังไงบ้าง
ชลิต : ไม่ได้คาดหวัง คิดแค่ว่าทำปีนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง ทุกอย่างเราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด เพราะให้เงินเราเราก็ต้องดูแลเขา เราต้องเร่งราก ตัดแต่งกิ่ง ฉีดยาทุกอย่างให้เขา อยู่กับเขาตั้งแต่ตีห้ายัน 6 โมงเย็นทุกวัน ซึ่งทุกวันนี้เราก็อยู่ที่จันทบุรีเป็นหลัก ส่วนเรื่องจะให้เป็นมรดกลูกหลานหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่เขา แต่คิดว่าลูกหลานคงไม่ทิ้งเพราะมันคงเป็นมรดก
เผยแพลนในวงการบันเทิงต่อจากนี้ "ยังทำสิ มันคือชีวิตของเรา เพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็ยังโชคดี ยังมีงานมาให้เราได้เล่นบ้าง แต่เราก็มาเจอในกองมองเห็นสภาพที่เราตอนเป็นหนุ่ม รวมไปถึงผู้จัดละครที่สนิทสนม ได้ไปเจอนักแสดงรุ่นเดียวกันมันก็มีความสุขอีกอย่างนึง ได้เห็นการเป็นไปของเป็นเพื่อน อย่างน้อยวงการนี้มันมีอะไรซึ่งเรารักกันโดยไม่รู้ตัว เวลาไปทำงานมันจะรู้สึกภาพเก่าๆ มันปรากฏแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ มันมีความสุข"