- 05 ส.ค. 2566
เปิดชีวิตล่าสุด แองจี้ เฮสติ้ง หลังยอมทิ้งวงการบันเทิง แต่งเศรษฐีน้ำมัน แล้วย้ายไปอยู่คูเวต ชี้ตอนนี้ชีวิตดี มีลูกน้องในบ้าน 14 คน บ้านหลังใหญ่โต ตื่นมาไม่ต้องทำอะไร...
อดีตนักแสดงสาว แองจี้ เฮสติ้ง ที่วันนี้ (4 สิงหาคม 2566) จะมาเปิดชีวิตหลังอำลาวงการไปแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี พร้อมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2 แถมเล่านาทีชีวิต รกพันคอลูก ต้องคลอดก่อนกำหนด ผ่านทางรายการคุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว?
แองจี้ : ประมาณ 8 ปีแล้ว คือเราแต่งงานไป เราตั้งใจแล้วว่าเราลาวงการ แล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับมาออกรายการด้วย ไปอยู่ที่นู้นด้วย โควิดด้วย คือไม่พร้อม
ก่อนแต่งคบมานานเท่าไหร่ ?
แองจี้ : กว่าจะได้แต่ง กว่าจะให้เขารู้ตัวว่าเราเป็นโซลเมตใช้เวลานานมาก 10 ปี บวกอีก 8 ปี เป็น 18 ปี
ย้อนไปตอนนั้นพี่ทำยังไงให้เขารู้ว่ายูคือโซลเมตของฉันนะ ขอฉันแต่งงานได้แล้ว ?
แองจี้ : ตอนนั้นคบได้ 9 ปีแล้ว ก็บอกเขาถึงเวลาแล้วนะ ยูควรจะตัดสินใจเพราะว่าในตอนนั้น เรา 35 แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน จะเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย หรือว่าเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนไปเลย ไม่ต้องแต่งงานก็ได้ คือ 35 เราต้องตัดสินใจแล้วว่าเราจะมีครอบครัว แต่งงานหรือเปล่า เลยบอกสามีว่าฉันให้เวลาอีกปีนึงนะ ถ้าไม่ขอฉันแต่ง ฉันจะตัดขาด ตั้งใจที่จะทำงานต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วถ้าเขาเลิกกับเราจริง ๆ เราจะทำยังไง แต่เราก็มั่นใจว่าเขาต้องขอเราแน่ ๆ
แล้วทำยังไงอยู่ ๆ เขามาขอเรา ?
แองจี้ : ตอนเขามาขอเรา เราคิดเลยว่าเขาต้องจัดฉากโรแมนติกนู้น นี่นั่น แต่ตอนเขาขอแต่งงานเขาไม่ได้จัดฉากอะไรเลย เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเขามาขอ เหมือนเขาจะหลอกเราไปถ่ายรูป เขาเป็นคนชอบถ่ายรูป เขาพาไปถ่ายที่แบบเหม็น ๆ ที่คูเวต เขาบอกยูมาถ่ายรูปหน่อย รอนานแล้ว ยูจะผูกรองเท้าอะไรนักหนา แล้วเขาก็ดึงแหวนออกมาจากรองเท้า แล้วหน้าเราก็แบบ โอ้โห..
ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว MTV และละครบูมมาก อะไรที่ทำให้พี่ยุติวงการบันเทิง ?
แองจี้ : ตอนที่แต่งงานกับเขาจี้ยังไม่ได้ย้ายนะ ยังถ่ายละครอยู่ ยังรับงานอยู่ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี เขาบอกว่ายูแต่งงานนะ ยูเป็นภรรยาของฉันนะ ทำไมยูยังไม่ย้าย ทำไมยังถ่ายละครอยู่ เราก็ลืมไป ไม่ได้คิดว่าแต่งงานเสร็จเราต้องย้าย เราคิดว่าแต่งงานก็คือแต่งงาน
มันเป็นกฎของครอบครัวคนคูเวตหรือเปล่าต้องย้าย ?
แองจี้ : คือเราแต่งงาน เราต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม จี้ลืมไป ไม่ได้คิดว่าเราแต่งงาน เราต้องย้าย เพราะเราอยู่แบบนี้มา 10 ปี ลืมไปเลย
พอละครปิดกล้องก็ไป ?
แองจี้ : ก็กลับไปเลย เขาแต่งงานกับเราเนี่ย เขาขอร้องให้เราย้ายไปอยู่กับเขา มันก็ต้องตัดสินใจย้ายไปอยู่ ก็ทำใจเราชอบการแสดงมาก พอตัดสินใจเราต้องเด็ดขาด
บางคนก็บอกว่าเราโชคดีจังเลย สามีมีฐานะ หนูตกถังข้าวสาร ตอนนั้นตัวเราเองที่รักกันมา 10 ปีกว่าจะได้แต่งงาน เรารู้สึกยังไง ?
แองจี้ : ตอนที่ย้ายไปอยู่ที่คูเวต คิดเหมือนกันว่านี่คือชีวิตเราเหรอ อยู่บ้านใหญ่โต ตื่นมาสามีก็ไปทำงาน แล้วเราก็เดินแบบทำตัวไม่ถูกจริง ๆ มันไม่ใช่เราไง เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก มันชินกับชีวิตประจำวันที่เราต้องตื่นไปถ่ายละครแต่เช้าแล้วกลับบ้าน ล้างหน้าแล้วกลับไปนอน เช้ามาก็ไปทำงานเหมือนเดิม คือมันเปลี่ยนไปเยอะเลย เราไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองพอไปอยู่ประเทศที่ไม่เหมือนบ้านเรา ไปอยู่ประเทศที่มีแต่ทะเลทราย ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ แม่
จริงไหมที่สามีคุณคือเศรษฐีบ่อน้ำมัน ?
แองจี้ : ทำงานน้ำมัน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน
ไปอยู่วันแรกเจ้าหญิงเลย ?
แองจี้ : ลงมาก็มีคนดูแล ที่บ้านเขาจะเรียกเรามาดาม จี้มีพนักงานประมาณ 14-15 คน ที่บ้านอยู่กันมีแองจี้ สามี พ่อสามี ทั้งหมด 3 คน
แล้วมีพนักงาน 14 คน ?
แองจี้ : ก็มีกุ๊ก มีคนละชั้นกัน บ้าน 4 ชั้นครึ่ง
อาทิตย์นึงหรือเป็นเดือนกว่าจะปรับตัวได้ ?
แองจี้ : ก็นาน เดินไปเดินมา ตายแล้วสามีจะให้เราทำผมทุกวันเลยเหรอ ทำเล็บทุกวันเลยเหรอ มันไม่ใช่เราแล้ว เราต้องหาอะไรทำ แต่เราก็ไม่รู้ไง ภาษาเราก็ไม่ได้ อะไรที่ถนัดก็คือความสวยความงาม ก็เลยหาธุรกิจที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้วทำ นั่นคือคือนำเข้าแบรนด์จากเกาหลีมาขายที่คูเวต และเป็นเจ้าแรก ตอนนั้นไม่มีตลาด มันยังใหม่ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขายังไม่รู้เลยว่าเกาหลีคืออะไร
ตอนแรกยากไหม ?
แองจี้ : ยาก แต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะจี้มีพาร์ตเนอร์เป็นอินฟลูฯ ที่ดังมากอยู่แล้ว เขาช่วยสื่อสารภาษาให้กับฟอลโลเวอร์ว่ามันเป็นของเกาหลี ราคาก็ได้ ราคาก็ดีเทียบกับ Luxury Brand
แล้วสามีที่เขาคาดหวังให้เราทำเล็บทุกวัน ทำผมทุกวัน ?
แองจี้ : ก็อธิบาย สามีบอกเธอไม่อยากเป็นมาดามเหรอ เธอแปลกมากเลยนะคนอื่นเขาอยากเป็นมาดาม ไม่ต้องทำอะไร แต่เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก
แล้วอย่างนี้ขัดใจสามีไหม ?
แองจี้ : เขาคงงง ๆ จริง ๆ ที่นู้นเขาไม่อยากให้ผู้หญิงทำงาน เราก็อธิบายแล้วเขาก็เข้าใจแหละว่าเราอยู่อย่างนั้นไม่ได้เราต้องทำงาน เพราะถ้าอยู่อย่างนั้นเราเครียดนะ ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย ไม่มีสังคม จะอยู่บ้านกับสามี เราก็อยากออกไปทำงาน มีรายได้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ยังดี แต่ตอนนั้นยังไม่มีลูก