- 18 ต.ค. 2566
เปิดชีวิต ต้องเต ผู้กำกับ สัปเหร่อ กวาดรายได้ 300 ล้าน กว่าจะมีวันนี้เคยเป็นขอทานมาก่อน พร้อมไขข้อข้องใจทำไมชอบใส่เสื้อขาด
เรียกว่านาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก "ต้องเต ธิติ ศรีนวล" ผู้กำกับ ภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ-ตลก ที่กำลังมาแรง ในตอนนี้ สำหรับ "สัปเหร่อ" ภาคแยกจากซีรีส์เรื่อง "ไทบ้านเดอะซีรีส์" ที่เข้าฉายไม่ถึงเดือน ก็กวาดรายได้ทะลุ 300 ล้านบาทไปแล้ว โดย "ไทยนิวส์ออนไลน์" ได้สัมภาษณ์ ต้องเต ถึงความสำเร็จในครั้งนี้
โดยต้องเต เผยว่าดีใจมาก ไม่คิดไม่ฝันมันเกินคาดไปไกลมาก ที่เลือกเขียนเอง กำกับเอง ควบคุมเรื่องด้วยตัวเองเพราะอยากผิดพลาดให้เต็มที่ อยากลองทำทุกอย่าง ไหน ๆ ทำแล้วอยากลงมือเอง ในส่วนของแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ คือการเขียนบทใกล้ตัว ซึ่งเวลาเขียนบทแนะนำให้เขียนบทใกล้ตัวก่อนเราจะเขียนมันได้ดี ไม่ว่าจะความรัก ครอบครัวสุดท้ายมาเข้าใจว่าใกล้ตัวที่สุดน่าน่าจะเป็นชีวิต การสูญเสีย และความตาย
แต่มันยากมากที่จะเขียนเรื่องนี้เพราะไม่เคยตาย เราจะไม่รู้เลยว่ารู้สึกยังไง อายุเรายังน้อยอยู่เลยจะไปเข้าใจเรื่องแบบนั้นได้ยังไง จะปลงขนาดนั้นได้เหรอ ไม่ได้พยายามเล่าให้คนเข้าใจ แต่ให้คนเห็นแล้วไปวิเคราะห์เองมากกว่า ใช้ระยะเวลาการถ่ายทำทั้งหมด 3 เดือน สัปเหร่อ ไม่มีภาคต่อ จะเป็นหนังในจักรวาลอีกเรื่องไปเลย
ส่วน ชื่อต้องเต เป็นชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้ เนื่องจากคุณแม่เป็นครูภาษาไทย คำว่าต้องเตเป็นการละเล่นพื้นบ้าน ส่วนที่หลายคนพูดถึงกันเยอะลุคเก่าเราความจริงคือเป็นเดือนมหาวิทยาลัย ที่ได้เป็นเพราะที่ 1 ที่ 2 ลาออก ก็เลยได้เลื่อนขึ้นเป็นเดือนมหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ต้องเตระบุว่าเรื่องทรงผมตอนนี้ถ้ามีงานแสดงก็จะตัด วางไว้คือเรื่องหน้าก็อยากตัดซึ่งแฟน ๆ มักจะแซวว่ายอดทะลุเป้าหมายแล้ว จะอาบน้ำถูสบู่ แต่ยังไม่ได้ทำให้เลย แต่ถ้ามีโอกาสจะทำให้ ถ้าถามถึงจะเดินสายมาขอบคุณแฟน ๆ ที่กทม. จะเป็นวันที่ 20 ต.ค ยังไม่ได้ระบุสถานที่ สุดท้ายอยากบอกว่ามันไม่ใช่หนังผีอย่าเชื่อที่เขารีวิว อย่าคาดหวังเกินไป ผมว่ามันดีได้กว่านี้ แต่อยากให้ ให้กำลังใจมากกว่าแค่อยากให้ดูว่าหนังอีสานมันไปถึงไหนแล้ว พัฒนาได้ถึงไหนแค่นั้นเอง
โดยก่อนหน้านี้ต้องเตยังได้เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์กับพิธีกร บุ๋ม ปนัดดา ในรายการเล่นใหญ่จัดใหญ่ ทางช่อง Bright TV ว่า เขาอยู่ในครอบครัวฐานะปานกลางที่จังหวัดร้อยเอ็ด แต่เขาก็ดิ้นรนใช้ชีวิตด้วยตนเองมาตลอด
โดยการเรียนไปทำงานไป และจากนั้นเขาได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ซึ่งตอนแรก ๆ เจ้าตัวเล่าว่า ตนมีเงินพอแค่แค่รถโดยสารมาเท่านั้น และคิดว่าจะมาหาค่ารถกลับบ้าน จึงต้องไปเดินขอทานในกรุงเทพฯ นั่นเอง
นอกจากนี้ ต้องเตมักจะใส่เสื้อผ้าขาด ๆ เก่า ๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเสื้อผ้าที่ใส่สบาย และเป็นตัวเขามากที่สุด โดยเสื้อผ้าที่ใส่เขาจะเป็นคนตัดให้ขาดเอง
และนอกจากจะใส่เสื้อผ้าขาดแล้ว เขายังเคยไปลองใช้ชีวิตกับคนเร่ร่อนไร้บ้าน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างไรอีกด้วย