หนุ่ม กะลา เปิดใจ ไม่ต้องการเงินคืน แต่ที่ฟ้องคนใกล้ชิดเพราะไม่ยุติธรรม

หนุ่ม กะลา ตั้งโต๊ะแถลงเปิดใจ ชี้ไม่ต้องการเงินคืน แต่ที่เตรียมฟ้องคนใกล้ชิดเพราะไม่ยุติธรรม เก็บทรัพย์สินทุกอย่างแล้วทิ้งหนี้ไว้ให้

ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ พร้อมด้วย หนุ่ม กะลา ได้ตั้งโต๊ะแถลงแถลงข่าวกรณีเตรียมฟ้อง2คนใกล้ชิด ที่มีการยักยอกโอนเงินจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด ของคุณหนุ่ม ไปยังบัญชีส่วนตัว กว่า 400 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท

 

หนุ่ม กะลา เปิดใจ ไม่ต้องการเงินคืน แต่ที่ฟ้องคนใกล้ชิดเพราะไม่ยุติธรรม

โดยเจ้าตัวเผยว่า ที่ผ่านมาได้คุยถึงประเด็นนี้กับอดีตภรรยามาตลอดหลายเดือนแล้ว ตอนนี้ตัวเองเป็นหนี้ 20 ล้าน ถ้าที่ผ่านมาตัวเองหาเงินได้จริง ทำให้รู้สึกว่าต้องมาคุยทนายเดชา ไม่ได้ต้องการเงินคืน แต่ต้องการให้อดีตภรรยาปิดหนี้ให้ และ เงินติดตัว 5 ล้านได้หรือเปล่า 

 

หนุ่ม กะลา เปิดใจ ไม่ต้องการเงินคืน แต่ที่ฟ้องคนใกล้ชิดเพราะไม่ยุติธรรม

ไม่คิดว่าคนที่เลิกไปแล้ว จะเก็บทรัพย์สินทุกอย่าง แล้วทิ้งหนี้ไว้ให้ ซึ่งตรงนี้อดีตภรรยาต้องแจงว่าเงินไปไหน ถ้าไม่อยากเรื่องบานปลายก็เป็นตามที่ขอ

ตัวเองทำงานมาทั้งชีวิต ไม่ยุติธรรมและนอกจากนี้ทนายเดชายังบอกอีกว่า ระบุเงินกว่า 60 ล้าน ไม่ใช่สินสมรส แต่เป็นเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ 365 จึงขอให้ทำความเข้าใจว่าไม่ใช่เงินของผัวเมีย

 

หนุ่ม กะลา เปิดใจ ไม่ต้องการเงินคืน แต่ที่ฟ้องคนใกล้ชิดเพราะไม่ยุติธรรม

 

นอกจากนี้ หนุ่ม กะลายังได้มอบหมายให้ทนายเดชาดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำลายชื่อเสียงผ่านโซเชียลมีเดียหรือออกรายการทีวีต่างๆ เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ที่ผ่านมาหนุ่มกะลาไม่ต้องการเป็นข่าวแต่ถูกฝ่ายโน้นให้คนโพสต์หรือลงสื่อแง่ลบของหนุ่มมาตลอด หนุ่มจึงต้องออกมาป้องกันสิทธิและชี้แจ้ง

ทนายเดชากล่าวอีกว่า มีคำพิพากษาฎีกาที่ 2266/2558 เทียบเคียงคดีคนใกล้ชิดหนุ่มกะลายักยอกเงินของห้างไป 66 ล้าน จำเลยเป็นกรรมการของบริษัทถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของบริษัทการที่กรรมการบริษัททำสัญญาค้ำประกันหนี้ของบุคคลอื่นโดยกรรมการได้รับผลประโยชน์เป็นส่วนตัว ส่วนบริษัทไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เป็นการทำผิดหน้าที่โดยทุจริตและเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินผิดมาตรา 353

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ