- 08 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
สำหรับสถานการณ์ ในประเทศซีเรีย ถึงวันนี้ยังคงระอุอย่างหนัก หลังจากที่ทางด้านกองทัพซีเรีย ได้เดินหน้าที่จะยึดคืนพื้นที่กูตาตะวันออก ที่เป็นพื้นที่สุดท้ายของกลุ่มกบฏยึดครองเอาไว้ และล่าสุดทางด้านสหประชาชาติได้ ขอให้มีการหยุดยิงเป็นระยะเวลา 30 วัน ซึ่งทางด้านรัสเซีย พันธมิตรของซีเรีย ที่ได้ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้ประกาศหยุดยิงเป็นเวลา 5 ชั่วโมงต่อวัน คือตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 14.00 น. ของทุกวัน ซึ่งสถานการณ์ก็ดูเหมือนคลี่คลาย แต่ทว่าพอพ้นช่วงเวลา ดังกล่าวกลับพบว่าสถานการณ์กลับรุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ขณะที่ทางด้านสหประชาชาติออกมาร้องขอให้มีการเปิดทางเข้าให้การช่วยเหลือพลเรือนที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ แต่ทว่าพันธมิตรของซีเรียเอง ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย หรืออิหร่าน ก็เกรงว่าการเปิดทางเข้าให้การช่วยเหลือนั้นจะเป็นช่องทางให้ทางด้านสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่น ๆ ของกลุ่มกบฏใช้เป็นช่องทางในการลำเลียงอาวุธเข้าสู่พื้นที่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ทางด้านประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด ได้ประกาศเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2561 ว่า ปฏิบัติการโจมตีเขตกูตาตะวันออก เพื่อทวงคืนพื้นที่จากฝ่ายกบฏยังต้องเดินหน้าต่อไป ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้ยุติเหตุนองเลือดที่คร่าชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไปแล้วหลายร้อยศพ
ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด
มีรายงานข่าว่า มีการยิงถล่มอย่างหนักในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้กองทัพรัฐบาลซีเรียยึดพื้นที่กูตาตะวันออกได้แล้วเกินกว่า 1 ใน 4 ขณะที่ทางด้านสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏนั้นได้ออกมาเรียกร้องกดดันให้ทางด้านรัฐบาลซีเรีย และรัสเซีย นั้นต้องออกคำสั่งหยุดยิงแบบถาวร ใน 30 วันที่เป็นมติของสหประชาชาติ เพื่อให้สามารถส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นเร่งด่วนไปให้ถึงมือประชาชนในกูตาตะวันออก
ในขณะที่ทางด้านศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียรายงานว่า เครื่องบินฝ่ายกองทัพรัฐบาล ได้ทำการทิ้งระเบิดใส่ย่านกูตาตะวันออกเมื่อคืนวันที่ 4 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมาจนทำให้พลเรือนเสียชีวิตถึง 34 คน ซึ่งรวมเด็กอยู่ด้วยถึง 11 คน
ในขณะที่การปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการยิงจรวดและปืนใหญ่ในช่วง 15 วันที่ผ่านมา ได้คร่าชีวิตชาวบ้านในกูตาตะวันออกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 650 คน และทำให้พลเมืองอีกหลายร้อยชีวิตต้องหนีตายไปยังฝั่งตะวันตก
ด้านสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงประณามเหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นและได้กล่าวหารัสเซียว่าเพิกเฉยต่อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งสั่งให้มีการหยุดยิงในกูตาตะวันออกเป็นเวลา 30 วันและ รัสเซียใช้ปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ทางด้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษ ได้ร่วมกันประณามรัสเซียและซีเรียว่าจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกูตาตะวันออก เนื่องจากมีประชาชนราว 400,000 คนในกูตาตะวันออกซึ่งถูกฝ่ายรัฐบาลปิดล้อมมาตั้งแต่ปี 2013 ต้องตกเป็นเหยื่อการโจมตีที่ดุเดือดทารุณที่สุดในสงครามกลางเมืองซีเรีย อีกทั้งยังเผชิญวิกฤตขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค
ขณะที่ทางด้านสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) ได้อนุมัติความช่วยเหลือให้แก่ชาวซีเรียในกูตาตะวันออกรวมทั้งสิ้น 70,000 คน โดยยืนยันว่าขบวนรถบรรทุก 46 คันจะนำอาหารและอุปกรณ์ด้านสาธารณสุขและโภชนาการเข้าไปส่งให้ถึงมือประชาชน 27,500 คน หลังจากนั้นก็จะมีการส่งเข้าไปเพิ่มเติมอีก
ขณะที่ทางด้านรัสเซีย ยืนยันว่าได้เปิดทางให้ประชาชนที่ไม่ใช่นักรบสามารถเดินทางออกจากูตาตะวันออกได้ในช่วงที่มีการหยุดยิง แต่ที่ผ่านมาปรากฏว่ายังไม่มีพลเรือนใช้ช่องทางดังกล่าวเดินทางออกมา ซึ่งทางด้านรัสเซีย และซีเรีย ได้ออกมาแจ้งว่าพลเรือนถูกบีบบังคับจากกลุ่มกบฏไม่ให้ออกจากพื้นที่ เพื่อไว้ใช้เป็นเกราะกำบัง หรือเป็นกำลังต่อรองกับทางกองทัพของรัฐบาลนั่นเอง
ซึ่งในเวลานี้กูตาตะวันออกสถานการณ์ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถคลี่คลายด้วยองค์กรอย่างสหประชาชาติ เพื่อฝ่ายรัสเซีย และซีเรีย ไม่เชื่อว่าสหประชาชาติจะนำความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่เพียงอย่างเดียว แต่เกรงว่าสหประชาชาติ ที่เป็นองค์กรถูกมองว่ารับใช้สหรัฐฯ นั้นจะใช้เป็นช่องทางในการลำเลียงอาวุธเข้าไปในสมรภูมิรบนั่นเอง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จะยิ่งทำให้กองทัพรัสเซียและซีเรีย ยิ่งจะต้องทำงานลำบากมากขึ้น ดังนั้นดูกันต่อไปว่าต้องใช้เวลานานอีกแค่ไหน กูตาตะวันออกถึงจะสงบ
บทความโดย : สถาพร เกื้อสกุล