- 19 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
สำหรับสถานการณ์ ในประเทศซีเรีย ถึงวันนี้ยังคงระอุอย่างหนัก หลังจากที่ทางด้านกองทัพซีเรีย ได้เดินหน้าที่จะยึดคืนพื้นที่กูตาตะวันออก ที่เป็นพื้นที่สุดท้ายของกลุ่มกบฏยึดครองเอาไว้ และล่าสุดทางด้านสหประชาชาติได้ ขอให้มีการหยุดยิงเป็นระยะเวลา 30 วัน แต่ทว่าทางด้านกองทัพซีเรีย ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการรุกคืบกลุ่มกบฏอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2561 ทางด้านว่าองค์กรสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย หรือ เอสโอเอชอาร์ ได้มีการรายงานข้อมูลเบื้องต้นว่า ทางด้านกองทัพซีเรียประสบความสำเร็จในการยึดเมืองเมสราบา ที่อยู่ห่างจากกรุงดามัสกัสไปทางตะวันออกประมาณ 10 กิโลเมตร และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเขตกูตาตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งสุดท้ายรอบเมืองหลวงของซีเรียที่กองกำลังฝ่ายกบฏยังคงยึดครองเอาไว้ได้
ขณะเดียวกัน กองทัพซีเรียยังสามารถยึดถนนสายสำคัญหลายสายในเขตกูตาตะวันออก แล้วแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 เขตย่อย ได้แก่เขตดูมา เขตฮาราสตาที่อยู่ทางตะวันตก และเขตที่เหลือทั้งหมดทางตอนใต้ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากลุ่มกบฏนั้น เป็นพันธมิตรหลักกับทางด้านกองทัพสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการอยู่ในประเทศซีเรีย
วันรุ่งขึ้น 12 มีนาคม 2561 ทางด้าน สหรัฐฯ ออกมาขู่ ว่าพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงสงครามในซีเรียเพื่อยับยั้งการใช้อาวุธเคมีและ การคุกคามเพื่อนมนุษย์ ทั้งยังได้เรียกร้องให้ขยายมาตรการหยุดยิงในกูตาตะวันออกต่อไปอีก 30 วัน
โดยทางด้านนางนิกกี้ เฮลีย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ได้ส่งคำขู่กลาย ๆ ไปยังผู้นำซีเรียว่า ถ้าทางด้านกองทัพซีเรียยังไม่ยุติในการไล่ล่ากลุ่มกบฏ ทางด้านสหรัฐฯอาจจะต้องดำเนินการบางสิ่งบางอย่าง เช่น การที่จะเข้าร่วมกับทางด้านกลุ่มกบฏในการต่อสู้กับกองทัพซีเรีย นอกจากนั้นแล้วเธอยังได้บอกต่อว่า แท้ที่จริงแล้วการตอบโต้ไม่ใช่สิ่งที่สหรัฐฯต้องการ แต่จำเป็นต้องดำเนินการ หากว่าประชาคมโลกล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา และสหรัฐฯก็พร้อมจะตัดสินใจด้วยตัวเองทันที
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2561 องค์กรสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย หรือ เอสโอเอชอาร์ รายงาน ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสู้รบในเขตกูตาตะวันออก ชานกรุงดามัสกัส ที่ยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ อยู่ที่อย่างน้อย 1,260 คน ในจำนวนนี้ราว 20% เป็นเด็ก และในขณะที่เครื่องบินรบของกองทัพรัสเซียเข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา
ล่าสุด ความคืบหน้าของการปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่ของทางด้านกองทัพซีเรียสามารถควบคุมพื้นที่ในเขตกูตาตะวันออก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลแห่งสุดท้ายของกลุ่มกบฏที่อยู่ใกล้กับกรุงดามัสกัสได้แล้วมากกว่า 70% ก่อนมีการลดระดับความรุนแรงของการสู้รบในบางเขตที่ทหารฝ่ายรัฐบาลเข้าไปยึดครองได้ เปิดทางให้พลเรือนอพยพได้แล้วเกือบ 20,000 คน แต่สหประชาชาติได้ทำการประเมินจำนวนประชาชนติดค้างอยู่ในเขตกูตาตะวันออกราว 400,000 คน
ในขณะที่ทางด้านสหประชาชาติได้ลำเลียงสิ่งของจำเป็นรวมถึงอาหาร และเวชภัณฑ์ ทยอยเข้าสู่เขตดูมาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเขตกูตาตะวันออก เพื่อแจกจ่ายสิ่งของเหล่านั้นที่เพียงพอสำหรับประชาชนราว 26,000 คน
แต่สิ่งที่น่าสนใจหลังจากนี้ก็คือ เมื่อทางด้านกองทัพซีเรียยึดคืนพื้นที่เกือบทั้งหมดคืนได้จากกลุ่มกบฏ และนำพลเรือนออกจากพื้นที่ได้เกือบทั้งหมดแล้ว ก็คงจะเดินหน้าบดขยี้กลุ่มกบฏแบบไม่ไว้หน้าอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ต้องเกรงว่าจะถูกประณาม ว่าเป็นการเข่นฆ่าพลเรือนอีกต่อไป แต่นั่นหมายความว่าจะไปสร้างความเจ็บช้ำอย่างหนักให้กับทางด้านสหรัฐฯ พันธมิตรหลักของกลุ่มกบฏเช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้าถึงกับประกาศว่าอาจจะขนกองกำลังเข้าไปช่วยรบเสียด้วยซ้ำ หากเป็นแบบนั้นจริง เวลานี้ทางด้านประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด คงต้องเดินเกมให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อรับมือศึกใหม่ ที่จะเกิดจากสหรัฐฯ ที่กำลังเสียผลประโยชน์ทั้งหมดในซีเรีย และเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย สหรัฐฯก็อาจจะเปิดปฏิบัติการ "หมาจนตรอก" ก็เป็นได้
บทความโดย : สถาพร เกื้อสกุล