- 04 ต.ค. 2561
ติดตามรายละเอียด www.tnews.co.th
จากกรณีองค์คณะผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก มีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ ให้สหรัฐอเมริกายุติการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน สำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับด้านมนุษยธรรม เพราะละเมิดสนธิสัญญาไมตรีระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ปี 2498 และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตประชาชนในอิหร่าน
โดยคำตัดสินของศาลโลก สั่งให้รัฐบาลวอชิงตันยกเลิกมาตรการลงโทษ ในการส่งออกสินค้าและบริการต่างๆ ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหาร สินค้าทางการเกษตร อุปกรณ์และบริการซ่อมแซมเครื่องบิน ไปยังอิหร่าน
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเตหะรานได้ร้องเรียนต่อศาลโลกว่า สหรัฐฯ ละเมิดสนธิสัญญาไมตรีกับอิหร่าน ด้วยการถอนตัวจากข้อตกลงด้านนิวเคลียร์อิหร่าน ปี 2558 และนำมาตรการคว่ำบาตรกลับมาใช้กับอิหร่านอีกครั้ง
ขณะที่อิหร่านชื่นชมคำตัดสินของศาลโลกครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะ แต่รัฐบาลวอชิงตัน ระบุว่า การตัดสินดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า และเกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรเพียงบางส่วน และยังไม่มีความชัดเจนว่า คำตัดสินของศาลโลกจะมีผู้ปฏิบัติตามหรือไม่
เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และอิหร่าน ต่างเคยเพิกเฉยต่อคำตัดสินของศาลศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้วในอดีต แม้คำตัดสินของศาลโลกครั้งนี้ ถือว่ามีผลผูกมัดตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถบังคับใช้ต่อคู่กรณีได้แต่อย่างใด
ล่าสุด วันนี้ (4 ต.ค.) รัฐบาลวอชิงตัน กำลังมีแผนถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไมตรีกับอิหร่าน เพื่อตอบโต้คำตัดสินของศาลโลก ให้สหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่าน
โดยนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนจุดยืนประเทศของผู้นำสูงสุดอิหร่าน จากชาติที่เคยได้รับความยกย่องบนเวทีโลก กลับกลายเป็นประเทศอันธพาล
จุดประสงค์ของสหรัฐฯ ไม่ได้หวังล้มระบอบการปกครองของอิหร่าน แต่ต้องการให้ชาติดังกล่าวเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง
ส่วนนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า อิหร่านกำลังละเมิดกฎเกณฑ์ศาลโลก เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อของอิหร่าน
ทั้งนี้ การถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไมตรีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการทูตระหว่างสองชาติ ยิ่งก่อให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านมากขึ้น