หญิงชรา ไร้หนทาง ทำใจไม่ได้ หากต้องทิ้งหมาจรจัด ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานกว่า 5 ปี

หญิงชรา ไร้หนทาง ทำใจไม่ได้ หากต้องทิ้งหมาจรจัด ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานกว่า 5 ปี


เว็บไซต์ Toutiao ได้เผยแพร่หญิงชรารายหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าๆโทรมๆเพียงลำพัง สามีเสียชีวิต ส่วนลูกสาวของเธอนั้นล้วนอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ นานๆทีจะกลับมาหา ดังนั้นเธอจึงเลี้ยงเจ้าสุนัขจรจัดตัวหนึ่งไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา

เจ้าสุนัขอยู่เคียงข้าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอมานานกว่า 5 ปีแล้ว แม้ดวงที่บอดสนิททั้งสองข้างของเธอนั้นจะทำให้การใช้ชีวิตอยากลำบาก แต่เพราะมีเจ้าสุนัขเป็นที่พึ่งคอยช่วยเหลือนำทาง ทำให้การใช้ชีวิตของเธอเป็นเรื่องง่ายขึ้น

เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ลูกสาวเตรียมรับหญิงชราเข้าไปอาศัยอยู่ด้วยกันในเมือง แต่ไม่สามารถรับเจ้าสุนัขไปอยู่ด้วยได้ เพราะไม่สะดวกหลายๆอย่าง อีกทั้งการเลี้ยงสุนัขในเมืองเป็นเรื่องที่ยากและลำบากมาก

หญิงชรา ไร้หนทาง ทำใจไม่ได้ หากต้องทิ้งหมาจรจัด ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานกว่า 5 ปี
 

ดูเหมือนเจ้าสุนัขจะรู้ว่าตัวเองจะต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ก่อนที่หญิงชราจะย้ายไป เจ้าสุนัขยืนร่ำไห้รออยู่หน้าประตู ทำให้หญิงชราเจ็บปวดหัวใจที่สุด และก็ทำให้เธอตัดใจทิ้งมันไม่ลง จากเดิมที่เตรียมพร้อมจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกับลูกๆ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน "แม่ไม่ไปแล้ว!" ลูกสาวแทบไม่อยากจะเชื่อการตัดสินใจของแม่ เพียงเพราะสุนัขตัวเดียวทำให้แม่ของเธอไม่ยอมย้ายไปอยู่ด้วย หญิงชรายังยืนยันอีกว่า "ถ้าลูกไม่พาเจ้าสุนัขตัวนี้ไปด้วยแม่ก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ตอนที่ลูกไม่อยู่ มันคอยเป็นเพื่อนแม่ไม่ทิ้งไปไหน พอถึงตอนนี้จะให้แม่ทิ้งมัน แม่ทำไม่ลง"

สุดท้ายลูกสาวจำใจยอมทำตามความต้องการของแม่ พาเจ้าสุนัขไปอยู่ด้วยกัน เมื่อได้ยินอย่างนั้นหญิงชราดีใจเป็นอย่างมาก เผยรอยยิ้มออกมา ที่ผ่านมาทั้งคู่ต่างพึ่งพาช่วยเหลือกันและกัน เชื่อว่าเมื่อย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่แล้วทั้งคู่ก็คงจะดูและซึ่งกันและกันเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง

หญิงชรา ไร้หนทาง ทำใจไม่ได้ หากต้องทิ้งหมาจรจัด ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานกว่า 5 ปี

พูดได้เลยว่า สำหรับผู้สูงอายุหลายๆท่าน การได้มีสุนัขเป็นเพื่อนเล่น เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ช่วยให้พวกทานได้คลายเหงาและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
 

หญิงชรา ไร้หนทาง ทำใจไม่ได้ หากต้องทิ้งหมาจรจัด ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานกว่า 5 ปี

ขอบคุณเรื่องราวจาก honghongworld