- 01 ก.ย. 2564
หนุ่มบราซิลกลัวจัด หวั่นภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น สวมรอยฉีดวัคซีนโควิด 3 ชนิด 5 เข็มภายใน 2 เดือน
จริงอยู่ว่าวัคซีนโควิดจะช่วยให้เรารอดพ้นจากการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งหลายๆ ประเทศจึงได้รณรงค์ให้พลเมืองในพื้นที่ไปฉีดวัคซีนเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ซึ่งมีทั้งคนกล้าและไม่กล้าฉีด โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้มีคนปล่อยข่าวว่า หลังจากฉีดวัคซีนล้วจะทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง
ทว่าท่ามกลางที่หลายๆ คนกลัวการฉีดวัคซีน แต่หนุ่มบราซิลรายนี้กลับกลัวเรื่องการติดเชื้อโควิดจนกระทั่งเสียชีวิตมากกว่า เขาจึงแอบไปฉีดวัคซีนถึง 5 เข็ม 3 ชนิดในเวลาไม่ถึง 2 เดือน เนื่องจากเขากลัวว่าภูมิคุ้มกันจะไม่ขึ้น ซึ่งกว่าเขาจะถูกจับได้นั้น เขาก็ได้ฉีดครบทั้ง 5 เข็มไปแล้ว
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม - 21 กรกฎาคม 2564 ชายชาวบราซิลรายนี้รับวัคซีนโควิดของ Pfizer 2 เข็ม Sinovac 2 เข็ม และ Astrazeneca 1 เข็ม ที่ศูนย์ฉีดวัคซีน 3 แห่ง ในเมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ทั้งนี้เขาถูกจับได้ ในระหว่างที่กำลังจะไปฉีดแอสตราเซนเนกา เข็มที่สอง ซึ่งเป็นโดสที่ 6 ในวันที่ 12 สิงหาคม
สาเหตุที่เขาถูกจับได้ก็เพราะว่า เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจำหน้าได้ว่าเขาเคยมาฉีดแล้ว และได้ทำการตรวจสอบ จนพบความจริง ซึ่งตามข้อมูลระบุว่าในการรับวัคซีนโควิด ประชาชนชาวบราซิลจะถูกแบ่งกลุ่มตามอายุ ทางการจะเป็นผู้นัดวันฉีด ประชาชนไม่สามารถเลือกวัคซีนเองได้ ซึ่งแต่ละศูนย์ฉีดก็จะได้รับวัคซีนต่างชนิดกันไป
โดยประชาชนจะต้องแสดงบัตรบัตรประชาชนในการรับวัคซีนเข็มแรก และแสดงบัตรประชาชนพร้อมบัตรนัด ในการฉีดเข็มที่สอง ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่น กล่าวว่า ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยโอกาสจากระบบคอมพิวเตอร์และระบบออนไลน์ที่ล้มเหลว จึงทำให้เขาสามารถลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้หลายแห่ง และทำให้ได้รับวัคซีนแตกต่างกันถึง 3 ตัว แต่ไม่บอกรายละเอียดเพิ่มเติม
ขณะนี้ทางเอเอฟพีได้ติดต่อไปยังหน่วยงานสาธารณสุขรีโอเดจาเนโรแล้วว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวทำได้อย่างไร และทั้งนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่า หากไม่ถูกจับได้ เขาวางแผนจะฉีดเพิ่มอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ทางเว็บไซต์ worldometers ได้เปิดเผยถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศบราซิลว่าวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่ 25,586 ราย มีผู้ป่วยสะสม 20,777,867 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 882 ราย สะสม 580,525 ราย หายป่วยแล้ว 19,735,447 ราย
ข้อมูลจาก Brussels Times / AFP