- 08 ก.ย. 2564
หนุ่มมาเลย์หัวหมอ บอกสูญเสียคนในครอบครัว 14 ชีวิตเพราะโควิด ก่อนรับเงินบริจาค สุดท้ายโป๊ะแตก
อย่างที่ทราบกันดีว่า การแพร่ระบาดของโควิด ทำให้หลายๆ ครอบครัวต้องสูญเสียคนที่รักไปอย่างน่าเศร้า เนื่องจากเป็นการสูญเสียคนที่รักไปแบบไม่ได้ร่ำลา หน้าครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้เห็น คำสั่งเสียสุดท้าย บางคนก็ไม่ทันที่จะเอ่ยออกมา ทว่าการหากินกับความสงสารของมนุษย์มักจะตามมาพร้อมการสถานการณ์เช่นนี้ อย่างเคสตัวอย่างดังต่อไปนี้
โดยสื่อต่างประเทศรายงานว่า พนักงานชายชาวมาเลเซียรายหนึ่ง ในรัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว ภายหลังจากตรวจสอบพบว่า เขาได้กระทำความผิดด้วยการเผยแพร่ความเท็จ เนื่องจากเขาอ้างว่า สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปจำนวนมากกว่า 10 ราย เนื่องจากติดโควิด ซึ่งเป็นโรคที่กำลังระบาดอย่างหนักในช่วงนี้
เจ้าหน้าที่ได้ให้ข้อมูลว่า ชายรายดังกล่าวหลอกลวงทั้งเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย คนอื่นๆ ที่รู้จัก และยังลุกลามไปยังชาวเน็ต ซึ่งเป็นการหลอกลวงผ่านทางโซเชียลทั้งใน WhatsApp และเฟซบุ๊ก มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 เพื่อหวังให้ผู้คนเหล่านั้นรู้สึกเห็นใจสงสาร หลังจากนั้นก็ช่วยกันบริจาคเงินช่วยเหลือไปทางบัญชีธนาคารของเขาโดยตรง
ตามรายงานระบุต่อไปอีกว่า หนึ่งในข้อความที่เขาใช้ในการหลอกลวง ระบุว่าสมาชิกในครอบครัวที่เขาต้องสูญเสียนั้น มีมากถึง 14 ราย โดยเขาบอกว่าเขาสูญเสีย ภรรยาและลูก 3 คน จากไปในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ต่อมาวันที่ 2 กันยายน ลูก 5 คน กับแม่และน้องสาวของเขา น้องเขย รวมถึงลูกของน้องสาวอีก 2 คน ล้วนจากไปเพราะโควิดเช่นดียวกัน
ความแสบของชายคนนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เนื่องจากเขาเล่นละครตบตาได้อย่างแนบเนียนเสมือนจริงขณะอยู่ในที่ทำงาน เขาแสดงความโศกเศร้าอาลัยและเสียใจต่อการจากไปของของครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทุกคนเชื่อสนิทใจว่า เขาสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปจริงๆ กระทั่งเมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา ภายหลังจากทางเจ้าหน้าที่สืบสวนจนพบความจริงว่าทั้งหมดเป็นแค่การโกหก
กระทั่งในที่สุดก็สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ ก่อนจะนำตัวไปสอบสวนฐานทุจริตและหลอกลวง ซึ่งในความผิดดังกล่าวมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี รวมทั้งมีโทษปรับและเฆี่ยนตี
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทของชายรายนี้ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันการเกิดเหตุแล้วว่า จะไม่ยกโทษให้พนักงานรายดังกล่าว พร้อมจะให้ความร่วมมือกับทางตำรวจอย่างเต็มที่เพื่อดำเนินการทางกฎหมายยุติธรรม และหวังว่าเรื่องราวครั้งนี้จะเป็นบทเรียน ไม่ให้ใครคิดหาผลประโยชน์จากความเห็นอกเห็นใจของผู้คนอื่น ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้