- 17 ม.ค. 2565
หญิงอินโดนีเซีย ถูกศาลลงโทษด้วยการเฆี่ยน 100 ที ฐานคบชู้ ตามกฎหมายอิสลาม ขณะที่ฝ่ายชาย ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา - อุทธรณ์ โดนเฆี่ยนแค่ 15 ที
กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ อีวาน นัจจาร์ อาลาวี หัวหน้าแผนกสอบสวนทั่วไปของสำนักงานอัยการอาเจะห์ตะวันออก กล่าวว่า ศาลได้พิพากษาลงโทษสถานหนักต่อหญิงซึ่งแต่งงานมีสามีแล้ว หลังจากที่เธอรับสารภาพว่าไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่น ซึ่งผู้พิพากษาพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินลงโทษฝ่ายชาย
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับข้อมูล
"เนื่องจาก ฝ่ายชายเป็นหัวหน้าสำนักงานประมงของอาเจะห์ตะวันออก และแต่งงานมีลูกเมียแล้วเช่นกัน เพราะเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดี เขาไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ดังนั้นผู้พิพากษาจึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาทำผิดจริงหรือไม่" อาลาวี กล่าว หลังจากที่บุคคลทั้งสองถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตามกฎหมายอิสลาม (ชารีอะห์) ไปเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา
ทว่า ถึงแม้จะเอาผิดฐานคบชู้ไม่ได้ แต่คณะผู้พิพากษาเห็นว่าชายคนนี้ยังมีความผิดฐาน "แสดงความรักใคร่ต่อหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตน" หลังมีพยานยืนยันว่าเห็นคนทั้งสองอยู่ด้วยกันในสวนปาล์มเมื่อปี 2561 ซึ่งเบื้องต้น ศาลได้พิพากษาลงโทษฝ่ายชายด้วยการเฆี่ยน 30 ที แต่เขาได้ยื่นอุทธรณ์ จนกระทั่งศาลสูงสุดอาเจะห์ยอมลดโทษให้เหลือเพียง 15 ที
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับข้อมูล
นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เจ้าหน้าที่ต้องสั่งหยุดพักการลงโทษชั่วคราว เนื่องจากฝ่ายหญิงนั้นไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากการถูกเฆี่ยนพร้อมกันถึง 100 ทีได้ อีกทั้งในวันเดียวกัน ยังมีชายอีกคนที่ถูกศาลอาเจะห์สั่งเฆี่ยน 100 ที ฐานมีเพศสัมพันธ์กับผู้เยาว์ และยังต้องรับโทษจำคุกอีก 75 เดือนด้วย
สำหรับ อาเจะห์เป็นจังหวัดเดียวในอินโดนีเซียที่มีการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ ซึ่งกำหนดโทษเฆี่ยนสำหรับผู้ที่กระทำผิดฐานเล่นการพนัน คบชู้ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ซึ่งการนำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้อย่างเข้มงวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในอาเจะห์กับรัฐบาลกลางอินโดนีเซียเมื่อปี 2548 ซึ่งช่วยปิดฉากการก่อความไม่สงบที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี
อย่างไรก็ตาม ด้านองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนวิจารณ์การเฆี่ยนประจานเช่นนี้ว่าเป็นบทลงโทษที่ป่าเถื่อน และแม้แต่ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด เองก็ยังเรียกร้องให้เลิกธรรมเนียมนี้เสีย แต่ยังไงเสีย ประชากรมุสลิมในอาเจะห์ส่วนใหญ่ยังคงเห็นด้วยกับบทลงโทษดังกล่าว
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับข้อมูล
ข้อมูลจาก france24.com